อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน
25 เมษายน 2024, 19:03:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
"สนับสนุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น"

ผลงานห้อง VIP (งวด 16 เม.ย.67)
อ.apichoke ถูกสามตัวสลับ 589 ถูกตัวกลับเลขท้าย รว.ที่๑ 89 ถูกเลขท้าย๒ตัว 79
ถูกปักหลักสิบเต็มๆ 9 เลขเด่นวันหวยออก ถูกเด่น 5

ออก 598-79
   หน้าแรก   หวยรัฐบาล SUPER VIP หนังสือหวย VIP สมัคร vip ช่วยเหลือ แท็ก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก Register  
ฝากภาพ i-pic
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 ... 20   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แล้วใครล่ะ...จะไม่รัก..  (อ่าน 829692 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
♥✿ (เอ๋) ✿♥
สมาชิกกิตติมศักดิ์วีไอพี
✤ Webmaster ✤
ยอดปรมาจารย์ C11

Diamond Hero 9
*

พลังน้ำใจ: 246882
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 370,707



« ตอบ #50 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 10:48:43 »



วันพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในปี 2557 ตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม
นอกจากจะเป็นพระราชพิธีโบราณเก่าแก่ ที่จะทำเพื่อเป็นการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล
แก่การเกษตรกรรมแล้ว วันดังกล่าวยังถือเป็น “วันเกษตรกร” อีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตร ได้ระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร
โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปจะได้ระลึกถึงความสำคัญของข้าว และธัญญพืชที่มีคุณเอนกอนันต์
ในการหล่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโตสมบูรณ์ทั้งกายใจ และเหนือสิ่งอื่นใด
เพื่อพึงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชกรณียกิจ
อันเป็นแบบอย่างทางด้านเกษตรกรรมแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจมั่นในการประกอบอาชีพ
และเป็นเหตุของความตั้งมั่นความเจริญไพบูลย์ของประเทศมาโดยตลอด
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ... ขอพระองค์ทรงพระเจริญ



         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 พฤษภาคม 2014, 10:57:35 โดย ♥♥@.เอ๋.@♥♥ » บันทึกการเข้า

FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #51 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 10:53:25 »


๙ คำพ่อสอน

๑. ความเพียร

การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ 27 ตุลาคม 2516

๒. ความพอดี

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540


๓. ความรู้ตน

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521

๔. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521

๕. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

๖. พูดจริง ทำจริง

ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

๗. หนังสือเป็นออมสิน

หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

๘. ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

๙. การเอาชนะใจตน

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ
พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 12 ธันวาคม 251






'ข้าวจากบ้านของพ่อ'...สู่พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

เมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธี
 'พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ' ขึ้นมาใหม่ หลังจากว่างเว้นไปตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๙
เพื่อเป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญเพิ่มกำลังใจให้แก่เกษตรกร

เมื่อเสร็จพระราชพิธีในปีพ.ศ.๒๕๐๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพันธุ์ข้าวลงปลูกในสวนจิตรลดา
 เกิด'โครงการนาสาธิต' เพื่อปลูกเก็บเกี่ยวข้าวไว้พระราชทานแก่ประชาชนในพระราชพิธีในปีต่อไปส่วนหนึ่ง
 และจัดส่งให้ทางจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ นำไปแจกจ่ายแก่ราษฎร เพื่อเป็นสิริมงคลตามพระราชประสงค์อีกส่วนหนึ่ง

โครงการนาสาธิตจะมีทั้งแบบนาดำ นาหยอด และนาหว่าน สาธิตการปลูกข้าวไร่ในดินที่นำมาจากจังหวัดต่างๆทั้ง ๔ ภาค
 ส่งเสริมและเผยแพร่การปลูกข้าวไร่ควบคู่กันไป เกษตรกรที่เข้าชมจะเห็นหลักวิชาการและนำไปใช้ในนาของตน

และหลังจากเสร็จพิธีแล้ว เราจะพบว่ามีผู้คนกรูกันเข้าไปแย่งเก็บเมล็ดข้าวที่พระยาแรกนาหว่านไว้ในท้องสนามหลวง
 จนไม่เหลือตกหล่นอยู่เลย ด้วยถือว่าเป็นสิริมงคล เพราะเป็นข้าวจาก 'บ้านของพ่อ' .
..หากนำไปโปรยในนาตน ข้าวก็จะสมบูรณ์งามกว่าธรรมดา ..ถ้านำไปใส่ไว้ในถุงเงินก็จะเป็นนางกวักหรือเรียกเงินให้เต็มถุงอยู่เสมอ





เกร็ดความรู้วันพืชมงคล

ท่านทราบหรือไม่ว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
 ได้มีปรากฏในวรรณคดีสมัยสุโขทัย เรื่องนางนพมาศ
หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ “ว่าด้วยพิธีแรกนา”
เป็นการนักขัตฤกษ์ ถือปฏิบัติในเดือนหก เรียกว่า
 พระราชพิธีไพศาขจรดพระนังคัล ไพศาขะ หมายถึง เดือนหก
และ จรดพระนังคัล หมายถึง การลงมือไถครั้งแรก
 คือการที่พระมหากษัตริย์ให้ทำพิธีไถนาเป็นครั้งแรก
เมื่อย่างเข้าเดือน ๖ ซึ่งเป็นเวลาเริ่มต้นแห่งฤดูกาลเพาะปลูก

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
ได้ว่างเว้นไปตั้งแต่ปี ๒๔๗๙ จนกระทั่งในปี ๒๕๐๓
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
 ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นอีกครั้ง
 เพื่อเป็นการรักษาพระราชประเพณีให้คงไว้
และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร
กับเป็นการบำรุงขวัญแก่กสิกรและจิตใจประชาชน
 รวมทั้งทำให้ชาวต่างประเทศได้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย

ปัจจุบัน ยังได้กำหนดให้วันพืชมงคลเป็น “วันเกษตรกรไทย” อีกด้วย




<a href="http://www.youtube.com/v/7s6zzHw9K60?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/7s6zzHw9K60?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>

<a href="http://www.youtube.com/v/MzPgGIMmS1o?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=00FFFF&amp;amp;&amp;aborder=&amp;autoplay=1&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/MzPgGIMmS1o?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=00FFFF&amp;amp;&amp;aborder=&amp;autoplay=1&amp;loop=1</a>


  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ตุลาคม 2016, 14:45:10 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #52 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 11:01:49 »











  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ตุลาคม 2016, 09:49:32 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #53 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 11:27:04 »








  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:26:14 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #54 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 16:11:27 »














  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:28:31 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #55 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014, 16:40:26 »












  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:30:53 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #56 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2014, 11:15:04 »









  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:32:51 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #57 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2014, 11:28:00 »


๙ ในล้านพระราชกรณียกิจ



<a href="http://www.youtube.com/v/CdWUw9_Epa4?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=1&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/CdWUw9_Epa4?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=1&amp;loop=1</a>

ประชาชนอย่าทิ้งประเทศชาติ


ตามรอยพ่อ




วันอาทิตย์ ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๕๔ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู มุขนายกกิตติคุณ
 แห่งเขตปกครองกรุงเทพมหานคร นำ คณะสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย เฝ้า
และเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อเชิญพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญแห่งพระศาสนจักรคาทอลิก
 ที่ได้รับการสถาปนาใหม่ คือนักบุญจอห์น ที่ ๒๓ พระสันตะปาปา
 และนักบุญจอห์น พอล ที่ ๒ พระสันตะปาปา ซึ่งได้รับมอบจากนครรัฐวาติกัน
 มาอธิษฐานภาวนาขอพระพรจากพระเจ้า ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง

พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิก
 หมายถึง ชิ้นส่วนของร่างกาย เช่น กระดูก โลหิต ผิวหนัง
 หรือสิ่งของประจำกาย เช่น ไม้กางเขน ประคำ ของนักบุญ
 หรือบุคคลอันเป็นที่เคารพของชาวคาทอลิก
ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วและได้รับการเก็บรักษาไว้
 ที่เชิญมาในโอกาสนี้ คือ พระฉวี
 หรือผิวหนังของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ ๒๓
 และพระโลหิตของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ ๒
ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗

สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ ๒๓ (His Holiness Pope John XXIII)
 ทรงดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ระหว่างปี ๒๕๐๑ - ๒๕๐๖
พระองค์ทรงได้รับการยกย่องในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระศาสนจักรให้ทันสมัย
 และเสริมสร้างเอกภาพในหมู่คริสตชน ทั้งนี้
 ในช่วงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ในยุโรป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จพระราชดำเนิน
ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ ๒๓ ณ นครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๓
สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ ๒ (His Holiness John Paul II)
 ทรงดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา ระหว่างปี ๒๕๒๑ - ๒๕๔๘ พระองค์ทรงได้อุทิศพระวรกาย
 เสด็จไปทรงเยี่ยมคริสตชน และเผยแผ่พระธรรมในประเทศต่าง ๆ
 ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องตลอดวาระสมัย รวมทั้งการเสด็จเยือนประเทศไทย
 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ
 ได้เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
 ทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๗
 ในโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้มีพระราชดำรัสกับสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ ๒
 ถึงความผูกพันระหว่างพระศาสนจักรคาทอลิกกับราชอาณาจักรไทย
ที่มีมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงปัจจุบัน
 ตลอดจนความเจริญงอกงามของคริสตศาสนาในประเทศไทย
รวมทั้งทรงยกย่องสมเด็จพระสันตะปาปา
ในฐานะผู้แผ่ความสงบร่มเย็นและความสว่างแจ่มใสแก่ชาวโลก ด้วย

[ภาพจากฝ่ายช่างภาพส่วนพระองค์ สำนักพระราชวัง]




ทรงพระเจริญ
 


  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2014, 00:06:49 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #58 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2014, 17:27:00 »







 

"วันนี้ในอดีต"

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2518
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าหน้าที่รักษาฝายน้ำล้น
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการพัฒนากลุ่มชาวไร่
ดอนขุนห้วย อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี


15 May 1975.
 His Majesty conversing with officials at the Weir
 of the Don Khun Huai Farmers' Development Group,
 Cha - am District, Phetchaburi Province.

 

"วันนี้ในอดีต"

วันที่ 14 พฤษภาคม 2526 วันที่ 14 พฤษภาคม 2523
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ไปทอดพระเนตรการดำเนินงานของโรงงานนมผงสวนจิตรลดา
 ณ บริเวณโรงโคนม สวนจิตรลดา และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้
 ผู้นำสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง ทั่วราชอาณาจักร
 เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาดุสิดาลัย


14 May 1980. His Majesty,
 in the company of Her Royal Highness
Princess Maha Chakri Sirindorn,
 inspecting the activities of Chitralada Dairy
 Plant Project and granting an audience to
leaders of Agricultural Co-operative Communities
and Self-help Settlements, at Dusidalai Hall of Chitralada Villa.






ย้อนรำลึก...พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯสนทนาธรรมกับหลวงตามหาบัว

ในหนังสือหลวงตามหาบัว มหัศจรรย์มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
กล่าวไว้ว่า ในตอนเช้าของวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้สั่งกำชับพระเณรในวัดว่า

“วันนี้ จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา
 พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาด
วัดวาอาวาสให้เรียบร้อย อย่าให้บกพร่อง”

พระทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร
 ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ
ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมานมัสการหลวงตามหาบัวฯ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จไปที่วัดป่าบ้านตาด
 เพื่อกราบนมัสการองค์หลวงตาโดยเสด็จพระราชดำเนิน
พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์
จากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นการส่วนพระองค์
โดยไม่มีทหารคนใดได้ล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อน
ทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวเป็นการโกลาหลว่า
เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก
 ไม่รู้ว่าเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ใด

หลวงตาจึงให้โอวาทว่า
 “มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว
เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ
หากพระองค์เสด็จมาโดยลำพัง
 มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
 จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง
ถ้าพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา
คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?”


“กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสพร้อมพนมพระหัตถ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส


“รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ”

ทรงถวายผ้าห่มและไทยทานอื่นๆ มากมาย
พร้อมกับปัจจัย ๓ หมื่นบาท
โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนได้ถวายธรรมะหลายประการ

๗ มกราคม ๒๕๓๑ เป็นปีเฉลิมราชย์รัชมังคลาภิเษก
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์มากกว่า
กษัตริย์ใดในประวัติศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตา
ให้ร่วมงานบำเพ็ญพระราชกุศลในงานพระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติ
รัชมังคลาภิเษก ด้วยพระองค์เอง ซึ่งปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยได้ไปไหน

พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกราบหลวงตาเสร็จ
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ถวายคำถามแรก
(พระเจ้าอยู่หัวเรียกหลวงตาว่า "หลวงปู่" )

"หลวงปู่... สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร"


หลวงตาตอบว่า... "พุทธภูมิ ก็เหมือน
ดั่งเรานั่งรถไฟนั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไปอุดรนั่นแหละ
พุทธภูมิแต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์
ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่นแหละ
 สาวกภูมิเพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการนำคนไปได้เยอะ ๆ
ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆไม่ได้มากนัก
อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป
 นั่นคือสาวกภูมิเข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง"

พระเจ้าอยู่หัวฯทรงตอบหลวงตาว่า "เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะหลวงปู่"

หลวงตาตอบ : "อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ
รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ
วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะแต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว
บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละแต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่
ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ไม่ใช่ทั้งหมด
 แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้
นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาดนี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน"

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง
(คือสมเด็จย่า)ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่

หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า...
 "พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ขอเองได้" ท่านว่างั้นนะ..
."พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง"ท่านบอกไปเลยนะว่า...
ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเองจัดการเองจัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก

พระเจ้าอยู่หัวฯได้กราบลาว่า "เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว
 จะกลับแล้วท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม"

หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า:

"การเป็นพุทธภูมิสร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ
 พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ ๕ คือ
 ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไปตกเย็นสอนนักบวช
 สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหา
เทวดาพอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก
 สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้
ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน
 พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้ แต่.
..ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทย
ปรารถนาอะไรทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ ...อาตมาจะให้พร"

สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ที่ได้ทรงงานอย่างหนักดังที่หลวงตาได้เทศน์นั้น
หลวงตามหาบัวได้เคยแสดงธรรมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ความตอนหนึ่งว่า
 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่พึ่งอันเอกอุ
 ดังพระธรรมเทศนาในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๔ มีใจความว่า

“ประเทศไทยของเรานี้ มีทั้งพระพุทธศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว
 พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ รวมแล้วเป็นศาสนาเอกในโลก
เราก็ได้ระลึกเป็นขวัญตาขวัญใจ
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดวงศ์กษัตริย์ทุกๆ พระองค์
 ก็เป็นเหมือนมหาพรหม ร่มโพธิ์ร่มไทรอันใหญ่หลวง
แห่งประเทศไทยของเรา ซึ่งป็นของเคียงคู่กันเป็นเวลานาน

มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หนึ่ง
 มีพระมหากษัตริย์ประทานความร่มเย็นให้แก่ไพร่ฟ้า
ประชาชีทั้งหลายตลอดมา
หนึ่ง นี่เรียกว่าพี่น้องชาวไทยเราได้ที่พึ่งอันเอกอุ
จึงขอให้ได้มีความเคารพนับถือบูชาทั้งฝ่ายศาสนธรรม
ทั้งฝ่ายองค์กษัตริย์ท่าน ให้มีความเคารพเป็นคู่เคียงกัน
จะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องชาวไทยเราตลอดไป...

นี่มีตั้งแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอันยิ่งใหญ่
 นับแต่พระพุทธศาสนาลงมาถึงวงศ์กษัตริย์ของเรา
 ล้วนตั้งแต่น้ำอันเย็นฉ่ำที่สำหรับชะล้างจิตใจของเราที่
แข็งกระด้างกระเดื่องไปด้วยบาปด้วยกรรม ให้มีความอ่อนโยนนิ่มนวล
 เคารพนบน้อม กราบไหว้ท่านผู้เลิศเลอคือ
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และองค์พระมหากษัตริย์
 ตลอดวงศ์สกุลกษัตริย์เรื่อยมา

อย่างนี้เรียกว่า พวกเราทั้งหลายมีที่อบอุ่น
 ถ้าต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ที่มีใบหนาให้ความร่มเย็นแก่เราทั้งหลาย
เวลาเดือดร้อนเด่นเข้าร่มไม้ก็ชุ่มเย็นเป็นสุข
 นี่เวลาคิดถึงที่พึ่งที่เกาะ มุ่งคิดไปทางศาสนาก็คือ
 ธรรม คิดมาทางบ้านเมืองก็คือ วงศ์กษัตริย์
 ล้วนแล้วตั้งแต่ให้ความร่มเย็นแก่พี่น้องทั้งหลายเราเป็นลำดับมาอย่างนั้น

จึงขอให้พี่น้องทั้งหลาย ได้ระลึกธรรมทั้งสองประเภท
คือ วงศ์กษัตริย์ หนึ่ง พระพุทธศาสนา หนึ่ง
ให้เข้าครองภายในจิตใจ จะเป็นเหมือนว่าเรามีพ่อมีแม่
 ไปที่ไหนอบอุ่น ผิดกับลูกกำพร้าเป็นไหนๆ ...

นี่เรามีทั้งเกาะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา
หมุนไปทางศาสนาก็เป็นธรรมอันเลิศเลอ
 หมุนไปทางพระมหากษัตริย์
ท่านก็ทรงเลิศเลอด้วยคุณธรรมมาเล้วไม่มีใครเสมอเหมือน
แล้วแหละสำหรับเมืองไทยเรา
 ในการที่ทรงสนใจต่อพระพุทธศาสนา
 พระองค์มอบทุกสิ่งทุกอย่างกับพระพุทธศาสนา เป็นต้นมา
 จึงเรียกว่าเป็นน้ำอันเย็นฉ่ำแก่พี่น้องชาวไทยเรา
ขอให้ยึดหลักทั้งสองประเภทที่เลิศเลอนี้ไว้ เป็นขวัญตาขวัญใจของเรา”


ธรรมะของหลวงตามหาบัวยังคงดำรงในสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า
 สถาบันชาติดำรงความเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้
 ก็เพราะมีศาสนาที่มีธรรมอันเลอเลิศ
และพระมหากษัตริย์ที่ทรงเลอเลิศด้วยคุณธรรมอย่างที่ไม่มีใครเสมอเหมือน

พสกนิกรชาวไทยจึงถือว่าโชคดีมีบุญ
 ที่ได้เกิดมาในแผ่นดินที่มีพระพุทธศาสนา
 และเกิดมาในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม
ได้มีโอกาสเคารพนับถือและปฏิบัติบูชา
ทั้งต่อทั้งศาสนธรรมและพระมหากษัตริย์
ตามคำสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

 



  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:35:11 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #59 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2014, 18:13:24 »



เรื่องเล่าของในหลวง เรื่อง "ทรงสรงนํ้าตกกลางป่าดง"

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2510 ในหลวงเสด็จประพาสภาคเหนือ
 ทรงเสด็จเข้าไปยังในป่าดงพงไพร ผ่านลำห้วยลำธาร
เพื่อเยี่ยมเยือนราษฏรที่อยู่ห่างไกลจากในตัวเมือง
 พระองค์ทรงสอบไถ่ถามปัญหาความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฏร
ขณะที่ขากลับพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นนํ้าตกขนาดเล็กๆ กลางป่า

ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างดีและยังมีชาวบ้านเพียงไม่กี่คน
กำลังเล่นอาบนํ้าตกกันอยู่ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า
พระองค์จะทรงสรงนํ้าตกด้วย
 พระองค์ทรงตรัสกับข้าราชบริพารผู้ติดตามพระองค์
ว่าวันนี้เราเดินทางด้วยเท้ากับพวกท่านเป็นหลายกิโลเมตร

ย่อมมีการเหน็ดเหนื่อยกันบ้าง ส่วนเราก็ร้อนมีเหงื่อออกด้วย
นั้นเราอนุญาติให้พวกท่านพักตามอัธยาศัยชมความอุดมสมบูรณของป่าได้
พระองค์ทรงห่วงกับข้าราชบริพารผู้ติดตามพระองค์

พระองค์ทรงตรัสว่า พวกท่านอย่าไปไหนไกลละ
ไม่ใช่ว่าเราจะกลัวพวกท่านทิ้งเรา แต่เรากลัวว่าพวกท่านจะหลงป่าต่างหาก
จากนั้นพระองค์ก็ถอดฉลองพระองค์ และทรงลงสรงนํ้าตกร่วมกับชาวบ้าน
 โดยมียางล้อรถยนต์เก่าๆของชาวบ้านอยู่หนึ่งอัน
ชาวบ้านก็นําถวายเพื่อให้พระองค์ทรงใช้เป็นห่วงขณะที่พระองค์ทรงสรงนํ้าตก
 พระองค์ทรงไม่ถือตัวพระวรกาย ทรงโน้มพระวรกายอย่างเป็นกันเองให้กับชาวบ้าน
 ทรงสรงนํ้าตกร่วมกับชาวบ้านอย่างทรงพระสําราญ
 

ภาพประกอบ
คือภาพจริงในเหตุการณ์จริง เมื่อปี 2510
"ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล"
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา




{วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๐๑}....
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโบราณสถานในเมืองศรีสัชนาลัยอยู่นั้น
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหยุดมีพระราชปฏิสันถารกับ
 "นางเล็ก เปล่งเสียง" ชาวบ้านตำบลสารจิต อ.ศรีสัชนาลัย
ซึ่งนำน้ำมาตั้งไว้หลายถังเผื่อผู้คนในขบวนเสด็จจะกระหาย
รับสั่งว่า "ฉันขอน้ำบ้างได้ไหม"
นางเล็ก "ไม่กล้าให้ในหลวงกิน เพราะเป็นน้ำธรรมดา"
แย้มพระสรวล"ปรกติฉันก็กินน้ำธรรมดาอย่างนี้นี่แหละ"

 



ทุกร่องรอย ที่ให้เห็นการ ทรง งาน ของพระองค์
ทำให้เห็น ว่า พระองค์ ท่าน ทรงงาน ในฐานะ
คน ลงมือทำ (นักปฎิบัติ) ไม่ใช่ เป็น แค่ คนสั่งงาน


ขอพระองค์ทรงพระเจริญด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ที่พระองค์ ท่านทรงงานเพื่อเรา และเป็นแบบอย่างในการทำงาน
 ให้เรา ประชาชน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 13:06:40 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #60 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2014, 18:27:13 »



พระราชปุจฉา กับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
เมื่อคราวเสด็จพระราชทานผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ครั้งแรก
 พ.ศ.๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
นมัสการถามหลวงปู่ฝั้น ความสำคัญว่า
๑)ปุจฉา-ทำอย่างไร ประเทศชาติ ประชาชน
จะอยู่ดีกินดี มีความสามัคคีปรองดองกัน?
หลวงปู่ฝั้นฯ วิสัชนา-ให้เข้าหาพระศาสนา
 เพราะศาสนาสอนให้ละชั่ว-กระทำความดี-ทำใจให้ผ่องใส
๒)ปุจฉา-คนส่วนมากทำดี คนส่วนน้อยทำชั่ว
จะให้คนส่วนมากเดือดร้อนไหม? ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขได้?
หลวง ปู่ฝั้นฯ วิสัชนา-ขอถวายพระพร ทุกวันนี้ คนไม่รู้ศาสนา
 จึงเบียดเบียนกัน ถ้าคนเรานึกถึงศาสนาแล้ว ก็ไม่เบียดเบียนกัน
 เพราะต้องการความสุข ความเจริญ คนอื่นก็เช่นกัน
คนทุกวันนี้ เข้าใจว่า ศาสนาอยู่กับวัด อยู่ในตู้
ในหีบ ในใบลาน อยู่กับพระพุทธเจ้า ประเทศอินเดียโน่น
 จึงไม่สนใจ บ้านเมืองจึงเดือดร้อนวุ่นวาย มองหน้ากันไม่ได้
ถ้าคนเราถือกันเป็นบิดามารดา เป็นพี่น้องกันแล้ว ก็สบาย
ไปมาหาสู่กันได้ เพราะใจเราไม่มีเวร เวรก็ไม่มี ใจเราไม่มีกรรม กรรมก็ไม่มี
ฉะนั้น ให้มีพรหมวิหารธรรม อย่างมหาบพิตรเสด็จมานี้ ทุกอย่างเรียบร้อยหมด

ใน คราวเดียวกันนั้น สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ
 และทูลกระหม่อมสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์
เสด็จเข้านมัสการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร โดยประทับบนพื้นพรม

๓)สมเด็จฯรับสั่งถาม-ท่านอาจารย์ไปพักวัดบวรฯบ่อยไหม?
หลวงปู่ฝั้นฯ-สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ไปพักบ่อย ทุกวันนี้ไม่ได้ไป ท่านเจ้าคุณศาสนโสภณนิมนต์เหมือนกัน
(ท่าน เจ้าคุณพระศาสนโสภณ ต่อมาได้รับสถาปนาเป็น
สมเด็จพระญาณสังวร และก็คือ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ในเวลาต่อมา)
๔)สมเด็จฯ ปุจฉา-ถ้าท่านอาจารย์ไปพักที่วัดบวรฯ
ดิฉันจะไปนมัสการ ดิฉันสนใจภาวนามานานแล้ว แต่เมื่อนั่ง
จิตไม่ค่อยสงบ ได้ไปเรียนท่านเจ้าคุณศาสนโสภณ ท่านบอกว่า เป็นเรื่องยุ่งยาก
หลวงปู่ฝั้นฯวิสัชนา-ไม่ว่าจะนั่ง-จะนอน-จะยืน-จะเดิน ทำได้
๕)สมเด็จฯปุจฉา-ทำอะไร? ให้รู้อยู่หรือ?
หลวงปู่ฝั้นฯวิสัชนา-ขอถวายพระพร
หลัง จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ หลวงปู่ฝั้น เดินทางเข้ามาเมืองหลวง
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
พร้อมด้วย ทูลกระหม่อมสมเด็จฟ้าหญิง
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร.....
ในหลวงฯทรงพระราชปฏิสันถารว่า
"ท่านอาจารย์มากรุงเทพฯรู้สึกเหนื่อยไหม?"
"ขอถวายพระพร อาตมาถือเป็นเรื่องธรรมดา
เนื่องได้เคยฝึกมาสมัยออกปฏิบัติ ครั้งแรกไม่มีรถยนต์ มีแต่เดินด้วยเท้า ขอถวายพระพร"

๖)สมเด็จ พระนางเจ้าฯทรงปรารภว่า-คนทุกวันนี้เข้าใจว่า
ตายแล้วไม่ได้เกิด ถ้าคนตายแล้วเกิด
 ทำไมมนุษย์จึงเกิดมาก? หากเดียรัจฉานเขาพัฒนาตนเอง
จะถึงขั้นเกิดเป็นมนุษย์ได้ไหม?
หลวงปู่ฝั้นฯ วิสัชนา-ได้ เกี่ยวกับจิตใจ ใจคนมีหลายนัย
ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์ ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเปรต
ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นนรก ตัวเป็นมนุษย์ ใจเป็นมนุษย์
หรือเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า ก็มาจากคน

จะรู้ได้อย่างไร?ให้นั่งพิจารณาดู ที่ใจไม่อยู่ คิดโน้นคิดนี่
 นั่นแหละ เรียกว่า มันไปต่อภพต่อชาติ ที่ว่าเกิด
ถ้าตาย ก็ไปเกิดตามบุญตามบาปที่ทำไว้ เป็นเปรต-คือ
 ใจที่มีโมโห โทโส ริษยา พยาบาท ใจนรก-คือ ใจทุกข์ กลุ้มอกกลุ้มใจ
ใจเป็นมนุษย์-คือ ใจที่มีศีล 5 มีทาน มีภาวนา ใจเป็นเศรษฐี
ท้าวพระยามหากษัตริย์ คือ ใจดี
ใจเป็นเทวดา-คือ มีเทวธรรม มี หิริ- ความละอายบาป
โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวบาป น้อยหนึ่งไม่อยากกระทำ
ใจเป็นพรหม-มีพรหมวิหารธรรม
ใจ ว่างเหมือนอากาศ-ใจพระอรหันต์ คือ ท่านพิจารณาความว่างนั้น
 จนรู้เท่า แล้วปล่อย เหลือแต่รู้ ใจพระพุทธเจ้า รู้แจ้งแทงตลอดหมดทุกอย่าง
หลวง ปู่ฝั้น ได้รับความศรัทธาจากองค์พระประมุข และราชสกุลเป็นอย่างสูง
 เห็นได้จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า
พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดอุดมสมพรหลายครั้ง

เมื่อ หลวงปู่ฝั้นเข้ามาในกรุง ก็ทรงโปรดให้อาราธนาเข้าไปแสดงธรรมในพระราชฐาน
บางคราวรับสั่งสนทนากับหลวงปู่อยู่จนดึกมาก เวลาหลวงปู่จะลุกขึ้น
 เพราะหลวงปู่นั่งอยู่อิริยาบถเดียวนานเกินควร จึงลุกขึ้นไม่ได้
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯเสด็จเข้าทรงช่วยพยุงหลวงปู่ด้วยพระองค์เอง

 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 13:22:26 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #61 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2014, 12:02:45 »

๑๐ เรื่องที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ ๙
๑. ทรงเลือกฮันนีมูนที่หัวหิน ทั้งๆ ที่สามารถเลือกที่ไหนก็ได้ในโลก
๒. ไม่ทรงสวมเครื่องประดับใดๆ นอกจากนาฬิกาข้อมือ และแหวนแต่งงาน
๓. เป็นกษัตริย์ที่ทรงใช้หลอดยาสีพระทนต์จนแบนเรียบเป็นกระดาษ (บีบจนหยดสุดท้าย)
๔. ทรงเลี้ยงปลานิลเป็นคนแรกของไทย จึงไม่เสวยปลานิล
๕. ในหลวงทรงพูดได้ทั้งหมด 6 ภาษา ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน เยอรมัน ลาติน และไทย
๖. สมัยทรงพระเยาว์ ของใดๆ ที่อยากได้ จะทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือทรงประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ครั้งหนึ่งเคยประดิษฐ์วิทยุและใช้ฟังร่วมกับสมเด็จพระเชษฐา
๗. ของ 3 สิ่งที่ในหลวงทรงพกติดตัวทุกครั้งที่ออกเสด็จฯ ไปยังสถานที่ต่างๆ คือ แผนที่ที่ทรงทำขึ้นเอง กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
๘. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นด้วยเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73 บาท
๙. ครั้งหนึ่งทรงเสด็จเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เกิดฝนตกหนัก ข้าราชการและประชาชนต่างยืนตากฝนรอรับเสด็จ พระองค์จึงทรงรับสังให้องครักษ์เก็บร่ม และทรงเยี่ยมข้าราชการและประชาชน ท่ามกลางสายฝน
๑๐. ครั้งหนึ่งพระองค์ต้องทรงเข้ารับการผ่าตัดพระปิฐิกัณฐกัฐิ (กระดูกสันหลัง) ณ วันที่ 20 กรกฏาคม 2549 แต่ยังรับสั่งให้ติดตั้งคอมพิวเตอร์ออนไลน์ เพราะพายุกำลังจะเข้า จะได้มอนิเตอร์ความเคลื่อนไหว เผื่อน้ำท่วม เพื่อจะได้ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที










  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:40:37 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
sutep123
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 39264
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18,565


« ตอบ #62 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2014, 12:18:24 »

 สวัสดี สวัสดี สวัสดี
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #63 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2014, 12:31:51 »

..พระคู่พระบารมี ..
The KING & The Queen of Thailand





..มิ่งขวัญดวงใจไทยทั้งแผ่นดิน..



30 วินาที แห่งความสุข! “เพียงหนึ่งรอยยิ้มของพ่อก็มีความหมาย” คลิปสั้นๆ แห่งความปลื้มปิติและซาบซึ้งหัวใจเกินบรรยาย! {ชมคลิป}

<a href="http://www.youtube.com/v/t_Dc-D11d1E?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/t_Dc-D11d1E?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>




คลิกอ่านที่ลิงค์
http://chanelnews.sayhibeauty.com/30-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2/

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2016, 13:20:06 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #64 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2014, 13:03:56 »



ในหลวง กับ พ่อท่านคล้าย จนฺทสุวณฺโณ

กิตติศัพท์ทางคุณงามความดีของพ่อท่านคล้ายทรงทราบถึงในหลวงรัชกาลปัจจุบันทรงมีความสนพระทัยและศรัทธาจึงทรงพระกรุณาให้นิมนต์พ่อท่านคล้ายเข้ารับพระราชทานภัทรกิจในพระราชวังสวนจิตรลดา

เมื่อพ่อท่านคล้ายกลับวัดลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบที่บนกุฏิเพื่อให้ท่านเล่าให้ฟัง ท่านลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เจ้าพนักงานนำท่านเข้าไปนั่งรอภายในห้องต้อนรับ ขณะที่รอในหลวงเสด็จออกท่านว่า

“หัวใจมันเต้นแรงเหมือนนั่งอยู่ปากถ้ำพระยาราชสีย์ยังไงยังงั้น”

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ก้มกราบทำให้อิ่มใจพองคับอก ชื่นชมในพระบารมี ช่างงดงามเป็นสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก ในหลวงทรงสนทนาไต่ถาม โดยมีพระปลัดสุพจน์คอยชี้แจงถวายระหว่างสำเนียงปักษ์ใต้กับภาษากลาง

จนในที่สุดในหลวงทรงก้มพระเศียรเข้าใกล้พ่อท่านคล้ายด้วยพระราชประสงค์ให้ท่านรดน้ำมนต์ พรมพระเศียรให้พร ด้วยทรงพระราชศรัทธาเคารพ ถึงตรงนี้พ่อท่านคล้ายพูดว่า

“กูขนพองไปหมด พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงกฤดาภินิหาร ครองบ้านครองเมือง จะมาก้มให้พระป่าสามัญลูบพระเศียรได้ ท่านเป็นเทวดาของปวงชน”

ท่านเลยทูลว่า “มหาบพิตรได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด”

ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ยิ้มและทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองให้พ่อท่านคล้ายจับขึ้นเสมออกอธิษฐานพระชัยมนต์คาถาถวาย แล้วรดน้ำมนต์ใส่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เอง พร้อมถวายพระพรตลอดเวลา ในหลวงทรงอิ่มเอิบปลาบปลื้มพระราชหฤทัยและทรงปวารณาทรงรับอุปัฏฐากเป็นส่วนพระองค์

ครั้นลูกศิษย์ถามท่านว่า “พ่อท่านถวายของดีอะไรหรือเปล่า”

ท่านตอบว่า “ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว จะให้ใครเล่า”

และกล่าวอีกว่า “ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”



ตามรอยพ่อ


"ราชา รฏฺฐสฺส ปญฺญาณํ"
พระราชาเป็นสง่าของแว่นแคว้น
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา


**พุทธภาษิตนี้มาจาก รถสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มีความว่า
 “ครั้งหนึ่งเทวดาได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
“อะไรหนอเป็นสง่าของรถ อะไรหนอเป็นเครื่องปรากฏของไฟ
 อะไรหนอเป็นสง่าของแว่นแคว้น อะไรหนอเป็นสง่าของสตรี”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ธงเป็นสง่าของรถ
 ควันเป็นเครื่องปรากฏของไฟ
 พระราชาเป็นสง่าของแว่นแคว้น ภัสดาเป็นสง่าของสตรี”

“ธโช รถสฺส ปญฺญาณํ
ธูโม ปญฺณาณมคฺคิโน
ราชา รฏฺฐสฺส ปญฺญาณํ
ภตฺตา ปญฺาณมิตฺถิยาติ ฯ



ในหลวงผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงสอนคนไทยว่า





...พ่อหลวงผู้ทรงพระเมตตาคุณของชาวไทยทุกคน...



“...คนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์ แล้วถูกทำโทษ ไม่ใช่คนนั้นที่เดือดร้อน
 แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นักกฎหมายชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก
ขอสอนนายกฯ ว่า...ใครบอกให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา
 ลงท้ายไม่ใช่นายกฯ เดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน...”

.
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘


"ไม่หวั่นอันตราย"


ในการเสด็จฯ เยี่ยมเยือนราษฎรตามภูมิภาคต่างๆ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บางครั้งก็เสี่ยงอันตราย เพราะเส้นทางที่เสด็จฯไป
 ทุรกันดาร แห้งแล้ง หรือไม่ก็เป็นป่ารกทึบ
 มีทั้งสัตว์และแมลงมีพิษที่จะทำอันตรายพระวรกายได้ตลอดเวลา
บางครั้งพระองค์เสด็จฯ เข้าไปยังพื้นที่สีแดง
 ที่คอมมิวนิสต์ครอบครองอยู่ บางครั้งทรงเยี่ยมเยือนปลอบขวัญ
 ให้กำลังใจทหารถึงแนวหน้า ยังค่ายทหารสมรภูมิรบต่างๆ
ภาพนี้เป็นเหตุการณ์ที่นิคมสร้างตนเองสุคิริน นราธิวาส
ข้าราชบริพารที่ไปสำรวจเส้นทางก่อนหน้า
เห็นแล้วว่าเป็นป่ากก รกทึบ มีทากดูดเลือดเป็นจำนวนมาก
 จึงเตรียมตัวป้องกันโดยเอาชายขากางเกงใส่ไว้ในถุงเท้า
 แต่พระองค์เฉยๆ ไม่ได้เกรงแมลงสัตว์กัดต่อยหรือทากเลยสักนิด

ครั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
 ทอดพระเนตรเห็นผู้ตามเสด็จเตรียมตัวผจญทากกันเต็มที่
 ก็เลยจัดเตรียมแต่งพระวรกายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 ด้วยการนำหนังยางมาผูกชายขาพระสนับเพลา(ขากางเกง)
 ของพระองค์ให้กระชับ และนำชายขาพระสนับเพลาใส่ไว้ในถุงพระบาท(ถุงเท้า)เช่นเดียวกัน

 

มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแก่ชาวไทยทุกคน


"...เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า ราชอาณาจักรนั้นเปรียบเสมือนพีรามิด
มีพระมหากษัตริย์อยู่บนยอด และมีประชาชนอยู่ข้างล่าง
แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะตรงกันข้าม
 นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องปวดคอ และบริเวณไหล่อยู่เสมอ..."

.
พระราชทานให้สัมภาษณ์นิตยสารแนชั่นแนล จิโอกราฟฟิก ปี ๒๕๒๕

..ในหลวงผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงสอนว่า...


“...ข้าราชการ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ระดับไหน มีหน้าที่อย่างไร
 ล้วนแต่มีส่วนสำคัญอยู่ในงานของแผ่นดินทั้งสิ้น ทุกคนจึงต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่
โดยเต็มกำลังความสามารถ ด้วยอุดมคติ ด้วยความเข้มแข็งเสียสละ และระมัดระวัง
ให้การทุกอย่างในหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงตรง ด้วยความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่า
 การปฏิบัติตัวปฏิบัติงานของตน มีผลเกี่ยวเนื่องถึงสุขทุกข์ของประชาชน
 ตลอดจนความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงของประเทศชาติ...”

.
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี ๒๕๕๗

.
วังไกลกังวล
วันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗

เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของชาวไทยทุกคน
 ด้วยพระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
 ขอทรงพระสิริสวัสดิ์ มีพระพลานามัยที่ดีและแข็งแรง
 ทรงพระชนมพรรษาที่ยืนยาว ทรงพระเกษมสำราญพระวรกายและพระทัย
 ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญพระพุทธเจ้าข้า
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ กราบแทบพระบาท

 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 13:24:17 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #65 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2014, 08:58:55 »


"วันนี้ในอดีต"

วันที่ 21 พฤษภาคม 2525
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร
ครงการฝายทดน้ำสามร้อยยอด ตามพระราชดำริ
และโครงการฝายทดน้ำบ้านไร่เก่า ตามพระราชดำริ
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


21 May 1982. His Majesty inspecting
Sam Roiyod Weir And Ban Raikao Wier Projects,
 constructed by the Royal Irrigation Department
at His Majesty's Instigation, at Pran Buri District,




"ในหลวง-พระราชินี"เสด็จทอดพระเนตรแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 21 พฤษภาคม 2555"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน
ไปยังลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ทรงวางพวงมาลัยถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
จากนั้น ทรงวางพวงมาลัยถวายราชสักการะพระรูปหล่อ
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ ศาลาศิริราช 100 ปี
และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลัยถวายราชสักการะพระบรมรูป
 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่อาคารสยามินทร์









วันนี้ในอดีต : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระราชดำรัส เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ"

เมื่อเวลาประมาณ 21:30 นาฬิกา ของวันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้
ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี
 และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ
 นำพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และพลตรีจำลอง ศรีเมือง
 เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โอกาสนี้
 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
ซึ่งโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
 นำเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าว
ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทั้ง 5 ช่อง เมื่อเวลา 24:00
นาฬิกาของคืนเดียวกัน หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์
 พลเอกสุจินดาจึงกราบถวายบังคม ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้มีชัย ฤชุพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี
 เป็นผู้รักษาราชการแทนเป็นการชั่วคราว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
"...ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน
 คือ พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลองช่วยกันคิด คือ หันหน้าเข้าหากัน,
ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา
ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน.
เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่าบ้าเลือด,
เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร,
 แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร. เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ
ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้.
แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ
ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร. ถ้าสมมติว่า
 เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด
แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง...."

ขอบคุณ/ที่มา ภาพ/ข้อมูลอ้างอิง : จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/พฤษภาทมิฬ
http://th.wikiquote.org/wiki/พระราชดำรัสเนื่องในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ









"วันนี้ในอดีต"

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2525
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากพระราชทานพิธี
จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
 แล้วเสด็จลง ณ บริเวณโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินทอดพระเนตรสิ่งของต่าง ๆ
ที่มีผู้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย สำหรับใช้ในกิจการโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา


19 May 1982. His Majesty inspecting
accessories which were presented for
 the use on Chitralada Farm, after presiding
 over the Annual Ploughing Ceremony at Sanam Luang Grounds,
at Chitralada Palace
.




"วันนี้ในอดีต"

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2545
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ
 เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงรับนายจอร์จี เฟร์นันดู บรังกู เดอ ซัมปายอู
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐโปรตุเกส และภริยา
 ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย


18 May 2002 Their Majesties
 the King and Queen receiving His Excellency
 Mr. Jorge Fernando Branco De Sumpaio,
President of the Republic of Portugal,
 and his wife, in audience,
at Piamsuk Villa of Klai Kangwol Palace,
 Prachuap Khiri Khan Province,
on the occasion of their visit to Thailand.



 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2016, 17:44:34 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #66 เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2014, 09:20:53 »



ในวันที่สิ้นหวัง....พ่อหลวงไม่ทิ้งเรา

คลิปเพลงประกอบเรื่อง http://youtu.be/FCGGZGOaRIc

<a href="http://www.youtube.com/v/FCGGZGOaRIc?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/FCGGZGOaRIc?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>


"แม่จ๋าๆ ...ในหลวงมาช่วยเราแล้ว แม่จะหายแล้วนะ แม่จะหายแล้ว...."

นับเป็นของขวัญชิ้นสุดแสนพิเศษ ต้อนรับปี ๒๕๕๒
ของครอบครัว ด.ญ.วรรณชลี พิลึก หรือนา
วัย ๑๔ ปี หลังจากที่เด็กหญิงเขียนจดหมายถึง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ขอพระเมตตาจากพระองค์ ทรงช่วยเหลือแม่ที่
กำลังนอนป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาทนานถึง ๕ ปี
จากจดหมายที่จ่าหน้าซองถึง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
และเขียนที่อยู่เพียงคำว่า "สำนักพระราชวัง"

ไม่มีแม้แต่รหัสไปรษณีย์ และไม่ติดแสตมป์

ในที่สุด...จดหมายฉบับดังกล่าว ได้ถูกส่งกลับมา
 พร้อมกับถ้อยคำตอบรับจาก
 "สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง"
และได้ดำเนินการให้แม่ของเธอเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ
เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่เด็กหญิงไม่คิดว่า
 "ตนผู้เปรียบดั่งละอองดิน"
จะได้ รับพระเมตตาจาก "ฟ้า" ที่พระราชทาน "น้ำฝน"
ลงมาชโลมความทุกข์ยามยากลำบาก


ย้อนกลับไปเมื่อ ๘ ปีที่แล้ว
 แม่ของวรรณชลี นางสาวชนะ เทพแสง อายุ ๔๗ ปี
 มีอาการปวดขารุนแรง แพทย์วินิจฉัยให้ผ่าตัดทันทีเพราะกระดูกทับเส้นประสาท
 หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง แพทย์อนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน
"พอกลับมาถึงบ้าน แทนที่จะหาย แม่กลับเป็นมากขึ้น
 เพราะปวดขามากจนเดินไม่ได้ต้องนอนอย่างเดียว"

นาเล่าถึงความหลังครั้งอายุ ๙ ขวบว่า

ดั่งโชคชะตากลั่นแกล้ง เมื่อกลับไปโรงพยาบาลเดิม
แพทย์กลับวินิจฉัยว่า ไม่เป็นอะไรมาก
เพียงแค่จ่ายยาให้กลับไปรับประทานที่บ้าน
และนัดให้มาตรวจอีกครั้งในเดือนถัดไป แต่จนแล้วจนรอด
 แม่ชนะก็ไม่ได้ไปพบแพทย์ตามนัด เนื่องจากไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล
จากครอบครัวที่มี สองคนสามีภรรยาช่วยกันทำมาหากิน เมื่อคนหนึ่งล้ม
 ภาระทั้งหมดก็ตกอยู่กับผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว
 "พ่อต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนเดียว ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ
 ส่งหนูเรียน เงินเดือนช่างซ่อมรถยนต์เดือนละสี่พันกว่าบาทไม่พอพาแม่ไปหาหมอ
ทำได้เพียงซื้อยาแก้ปวดให้แม่กินไปวันๆ แต่ยาก็ช่วยได้แค่บรรเทา
 พอยาหมดฤทธิ์ แม่ก็กลับมาปวดขาอีก"

ตั้งแต่นั้นมา.... ชีวิตเด็กหญิงตัวเล็กๆ
ก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ามาหุงข้าวทำกับข้าว ส่วนหนึ่งห่อให้พ่อไปกินที่ทำงาน
 อีกส่วนหนึ่งจัดสำรับให้แม่รับประทานเป็นอาหารเช้า
จากนั้นอุ้มแม่ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำแล้วอุ้มกลับมาวางไว้ที่เตียงเพื่อแต่งตัว
 ระหว่างที่แม่กินข้าว วรรณชลีจะปลีกตัวไปอาบน้ำแต่งตัว
เสร็จแล้วก็ออกมาจัดสำรับอาหารกลางวันให้แม่ก่อนไปโรงเรียน
 พอเข็มนาฬิกาบอกเวลาเลิกเรียน
 วรรณชลีจะรีบกลับบ้านมาดูแลแม่ทันที อาบน้ำ
ทำกับข้าว บีบนวดให้แม่ จนส่งแม่เข้านอน
เด็กหญิงจึงได้มีเวลาสำหรับตัวเอง ทำการบ้าน อ่านหนังสือ

น้องดำเนินชีวิตแบบนี้ทุกวันกระทั่งเรียนชั้น ประถมปีที่ ๕
พ่อก็ได้งานซ่อมรถที่ได้เงินเดือนดีกว่าที่ทำงานเก่า
จึงย้ายครอบครัวจากเขตประเวศ กรุงเทพฯ มาอยู่ที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
ด้วยหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น หาก...ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่
 "บ้านที่เราอยู่เป็นห้องแถวเล็กๆ มีหน้าต่างระบายอากาศบานเดียว
 เพื่อนบ้านมีแต่ผู้ชาย เวลาหนูไปโรงเรียนต้องล็อคกุญแจบ้านขังแม่ไว้
เพราะกลัวจะเป็นอันตราย" ความเป็นห่วงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ถ้าวันไหน "ฝนตก" หลังคาบ้านก็รั่วทุกทีซินะ
เรียนหนังสือไม่เป็นสุขเลยค่ะ อยากให้เลิกเรียนเร็วๆ
 มีอยู่วันหนึ่งลูกเห็บตก ลมพัดแรง พอกลับบ้านไป แม่เปียกไปทั้งตัวเลย
สงสารแม่มาก เหนื่อยกาย หนูทนได้แต่ "ทรมานใจ"
ที่ต้องเห็นแม่นอนร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดและเดินไม่ได้ทุกวันทุกคืน
หัวใจลูกมันเหลือจะทานทรไหว"มีบางทีแม่ปวดจนช็อค ปวดจนบิดต้องกัดผ้า
 หนูนอนร้องไห้ทุกวัน สงสารแม่มาก" น้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาเอ่อค่อยๆไหลผ่านสองแก้ม
เด็กหญิงตัวน้อยรีบเอามือปาดน้ำตาแล้วยิ้มพร้อมเล่าต่อ......

ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างไร้ความหวัง....
จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้มีโอกาศดูรายการโทรทัศน์ "ฝนจากฟ้า"
นำเสนอเรื่องราวของเด็กโดนแก๊สระเบิดเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือจากในหลวง
หลังจากจบรายการ วรรณชลีไม่รีรอที่จะเขียนจดหมายถึง
 "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายในยามสิ้นหวัง
 ถ้อยคำในจดหมาย บรรยายถึงอาการป่วยของแม่
และขอพระเมตตาจากพระองค์ ช่วยแม่ของเธอด้วย
"แม่จะตายหลายครั้งแล้ว เพราะปวดขาจนช็อค...หนูไม่รู้จะช่วยยังไง....
จะไปหาหมอก็ไม่มีเงิน หนูกลัวแม่จะไม่อยู่กับหนู
 เลยตัดสินใจเขียนจดหมายถึงในหลวง เขียนทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังริบหรี่
 แต่หนูก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ขนาดคนข้างบ้านยังพึ่งไม่ได้เลย"
น้ำเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมน้ำใสๆไหลจากตาทั้งสองข้าง

หลังจากนั้นเพียง ๑ เดือนเศษๆ
"วรรณชลี วรรณชลี" เสียงเรียกดังมาจากหน้าประตูบ้าน
เด็กหญิงลุกขึ้นเดินมาเปิดด้วยอาการสะลึมสะลือเพราะพิษไข้
 เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้น
 มัธยมปีที่ ๑ ยืนอยู่ พร้อมกับยื่นซองจดหมายสีขาวให้
 "มีจดหมายจากสำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราช วัง ส่งมาถึงเธอ
"วรรณชลียกมือขึ้นรับซองด้วยอาการสั่นเทา แล้วรีบเปิดอ่านทันที

"ถึงเด็กหญิงวรรณชลี พิลึก ตามที่ท่านทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา
ความว่า ติดต่อที่ โรงเรียนบัวแก้วเกษร เลขที่ ....
จังหวัดปทุมธานี ขอพระราชทาน พระบรมราชานุเคราะห์
ความแจ้งอยู่แล้ว นั้น สำนักราชเลขาธิการได้รับเรื่องแล้ว
จึงแจ้งมาเพื่อทราบชั้นหนึ่งก่อน สำนักราชเลขาธิการ ๓ กันยายน ๒๕๕๑"

น้ำตาใสๆ ของเด็กหญิงวัย ๑๔ ปีไหลอาบแก้ม
 รีบเด่นเข้าไปกอดแม่ที่นอนหลับอยู่ในบ้าน
 "แม่จ๋าๆ...ในหลวงมาช่วยเราแล้ว แม่จะหายแล้วนะ แม่จะหายแล้ว..
....และเมื่อถามว่า"ความสุข" ของวรรณชลีคืออะไร ?
เด็กหญิงนิ่ง ส่ายหน้าบอกว่า "ไม่รู้"
แต่พอถามว่า สิ่งที่ทำให้ยิ้มได้คืออะไร วรรณชลีรีบบอกว่า "แม่ไม่ปวดขา"

เมื่อก่อน...เด็กหญิงจะไปเรียนหนังสือด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ไม่ยิ้ม ไม่เล่น ไม่คุยกับเพื่อน แต่วันนี้
 หลังจากที่สำนักราชเลขาธิการส่งจดหมายฉบับที่ ๒
มาบอกให้แม่ของวรรณชลีไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคมที่ผ่านมา และนัดให้ไปตรวจอีกครั้งในวันที่ ๑๗ ธันวาคม
ในฐานะ "คนไข้ราชสำนัก" วรรณชลีเริ่ม "ยิ้ม" ได้แล้ว....
แม้จะรู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดว่า อาการป่วยของแม่จะไม่มีวันหายก็ตาม !!
 "แม่อาการดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ หมอให้ยามากิน แม่ปวดขาน้อยลง ไม่ทรมานอย่างเก่าแล้ว"
ไม่เพียงพระมหากรุณาธิคุณที่ครอบครัววรรณชลีได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...
หลังจากที่ได้มาเห็นสภาพครอบครัวของวรรณชลี
 คณะครู-อาจารย์โรงเรียนบัวแก้วเกษรก็เข้ามาช่วยเหลือเต็มที่
ด้วยการนำจดหมายจากสำนักราชเลขาธิการไปเป็นหลักฐาน
เพื่อยื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่นาน...
แม่ของวรรณชลีก็ได้รับบริจาครถเข็น
 ได้รับการส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลลาดหลุมแก้ว
จากนั้นไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลปทุมธานี ได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัย
 ย้ายบ้านจากห้องแถวสภาพโทรมๆ มาอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ
โดย อบต.คูบางหลวง ช่วยออกเงินค่าเช่าบ้านให้ครึ่งหนึ่ง
นอกจากนี้วรรณชลียังได้รับทุนการศึกษาอีก ๓,๐๐๐ บาทด้วย

"จดหมายของพระองค์ฉบับนั้นเปิดทางให้คนอื่นมองเห็น
 แล้วยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้พระบารมีจากพระองค์ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวหนูจะเป็นอย่างไร"
วรรณชลีบอกด้วยน้ำเสียงตื้นตัน

อย่างไรก็ตาม "น้ำใจ" ที่หลั่งไหลเข้าช่วยเหลือครอบครัวของวรรณชลี
ก็ไม่ทำให้เด็กหญิงยอดกตัญญูคนนี้ "ลืมตัว"
เธอยังคงเป็นวรรณชลีคนเดิม ที่ตื่นตี 5 มาหุงหาอาหารและดูแลแม่เช่นเดิม
รวมทั้งยังคงช่วยครอบครัวประหยัดด้วยการไม่
 "กินข้าวกลางวัน" เช่นเคย "ชินแล้วค่ะ ทำมาตั้งนานแล้ว"
บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วบอกต่อว่า ได้เงินค่าขนมวันละ ๔๐ บาท
 จ่ายค่ารถไป-กลับ ๒๐ บาท
ถ้าวันไหนหิวมากก็จะซื้อแซนด์วิชอันละ ๑๐ บาทกินเอา
 แต่ถ้าวันไหนหิวน้อยจะซื้อน้ำผลไม้ปั่นแก้วละ ๖ บาทกิน
และถ้าวันไหนไม่หิวก็จะไม่กินอะไรเลย
 จะเหลือเงินกลับบ้านประมาณ ๒๐-๓๐ บาททุกวัน
 ซึ่งเงินจากวันนี้ก็จะนำไปใช้ในวันถัดไป หนูไม่ต้องการอะไรหรอกค่ะ
ยังเหมือนเดิม ที่ต้องการที่สุด อยากให้แม่ดีขึ้นกว่านี้
 ช่วยเหลือตัวเองได้ ถ้าเดินไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่อยากให้แม่ปวด
อยากให้แม่อยู่กับหนูนานๆ และหนูก็เชื่อว่า ต่อไปนี้แม่จะดีขึ้นตามลำดับ
 เพราะ"ในหลวงมาช่วยแม่"แล้ว อย่างน้อยกำลังใจแม่ก็ดีขึ้นมาก
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนของพระองค์เลย.....
สองมือเล็กๆพนมยกขึ้นเหนือหัวพร้อมมองไปที่รูปของในหลวงที่ติดข้างฝาบ้าน....
.พร้อมประโยคสั้นๆว่า "ขอพระองค์ทรงพระเจริญนะค่ะ"


นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นการเริ่มต้นปีใหม่
 ด้วยท้องฟ้าสดใส ผูกริบบิ้นด้วยรุ้งงาม
ของครอบครัวเด็กหญิงยอดกตัญญู "วรรณชลี"

ถึงเรื่องราวจะผ่านมาหลายปีแล้ว นึกถึงมีไรก็ประทับใจไม่ลืมเลือน.......

"อยากจะรู้หัวใจพระองค์นั้นทรงทำด้วยอะไร
เหตุอันใดจึงมีความรักมากมายให้ได้กับทุกคน
อยากจะรู้ร่างกายพระองค์ทำไมจึงถึงอดทน
แบกภาระที่มีมากล้นคนเดียวอย่างไร
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง
แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
.... "

 ขอพรให้รวย ขอพรให้รวย ขอพรให้รวย



"แค่จม.ฉบับเดียวพระองค์ท่านยังเมตตาขนาดนี้" เมื่อเด็ก7ขวบถวายฎีกาถึงในหลวง

เรื่องเล่าจากเด็กชายที่เขียนจดหมายถวายฎีาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อขอให้ช่วยรักษาพ่อที่มีอาการป่วย

เมื่อครั้งที่ "นที บุญยสุขานนท์" เด็กชายวัย 7 ขวบชาว ต.พงสวาย อ.เมือง จ.ราชบุรี เขียนจดหมายเพื่อถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นั้น เขาคิดเพียงว่า เมื่อในหลวงเป็นเทวดาตามที่แม่เคยบอกก็น่าจะช่วยรักษาพ่อที่มีอาการเจ็บป่วยเป็นแผลที่ขาและตามองไม่เห็นได้

เด็กน้อยหย่อนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์โดยไม่ได้หวังว่าจะได้รับการตอบกลับ

ทว่าไม่นานหลังจากนั้น หนังสือตอบกลับจากสำนักพระราชวังก็ถูกส่งมาถึงหน้าประตูบ้าน

ความทุกข์ของพสกนิกรมิเคยพ้นจากสายพระเนตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช.....

"นที" ในวัย 14 ปี ย้อนความถึงเรื่องราวเมื่อครั้งนั้นว่า ตอนนั้นอายุ 7 ขวบ นั่งดูในโทรทัศน์แล้วเห็นในหลวง แต่ยังไม่รู้จัก จึงถามแม่ว่าคือท่านเป็นใคร แม่ก็บอกว่าท่านคือเทวดา ท่านช่วยเหลือคนมากมาย ทำให้คิดว่าเมื่อท่านเป็นเทวดาก็น่าจะช่วยรักษาพ่อได้ จึงได้เขียนจดหมายไปหา โดยเขียนแบบเด็กๆ เขียนด้วยดินสอ และไม่คิดว่าจะได้รับหนังสือตอบกลับ ซึ่งหลังเขียนเสร็จก็ไม่ได้บอกใคร และเมื่อพ่อขี่จักรยานมารับเพื่อไปช่วยขนผักที่ตลาด ก็แอบเดินไปส่งจดหมายที่ไปรษณีย์ โดยบอกว่าจะไปซื้อขนม หลังจากนั้นอีกไม่นานก็มีหนังสือตอบรับกลับมาจากสำนักพระราชวัง

"สำนักพระราชวังมีหนังสือตอบรับกลับมาว่า จะมารับตัวพ่อไปรักษา ซึ่งถือเป็นความปลื้มปิติและเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้ ตอนนั้นรู้สึกดีใจที่จะมีคนมารักษาพ่อ ทำให้พ่อไม่เสียชีวิต หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ก็มีคนมารับพ่อไปรักษา"

นทีเล่าอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังพระราชทาน ทุนการศึกษาให้เดือนละ 1,000 บาท ข้อความในจดหมายระบุด้วยว่า ขาดเหลืออะไรก็ให้เขียนจดหมายไปแจ้งได้ แต่ก็ไม่เคยเขียนไปเพราะสิ่งที่ท่านพระราชทานมานั้นเยอะมากแล้ว

"เมื่อทราบข่าวเสด็จสวรรคต ผมรู้สึกเสียใจมากไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เพราะผมยังไม่ได้ตอบแทนที่พระองค์ท่านได้ช่วยครอบครัวผมเลย ทุกวันนี้ได้น้อมนำเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วยการประหยัดไม่ฟุ่มเฟือยและตั้งใจเรียนซึ่งผลการเรียนตอนนี้เกรดเฉลี่ยอยู่ประมาณ 3 กว่า ผมตั้งใจว่าอยากจะเป็นทหารรักษาพระองค์ ผมอยากตอบแทนพระองค์ท่าน"

ด้าน เพ็ญรุ่ง บุญยสุขานนท์ อายุ 51 ปี มารดาของนที เล่าว่า ตอนแรกไม่รู้ว่าลูกเขียนจดหมายไปจนวันที่ได้รับจดหมายจากสำนักพระราชวังก็ไม่กล้าเปิดเพราะกลัวจึงได้ให้พี่สาวเปิดอ่าน จึงได้รู้ว่าลูกชายเขียนจดหมายไป จึงได้ถามลูกว่า เขียนอะไรไป ซึ่งลูกก็บอกว่า ก็เขียนไปให้พระองค์ท่านมาช่วยรักษาพ่อ เพราะแม่บอกว่าพระองค์เป็นเทวดาก็ต้องรักษาพ่อได้ หลังจากนั้นก็มีคนมารับไปที่วัง และเขาก็บอกว่า พระองค์ท่านจะพระราชทานทุนการศึกษาและรับอุปการะ

"ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเพราะแค่จดหมายฉบับเดียวพระองค์ท่านยังเมตตาขนาดนี้ เมื่อทราบข่าวว่าเสด็จสวรรคตก็รู้สึกเสียใจมาก"เพ็ญรุ่งกล่าว

ภายหลังที่ครอบครัวบุญยสุขานนท์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทางหน่วยงานของกาชาด จ.ราชบุรี ได้เข้าไปทำการสร้างบ้านให้กับครอบครัวทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ เพ็ญรุ่ง มีอาชีพขายไอศครีม พอมีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ ส่วน ไพโรจน์ วารวร บิดาบุญธรรมของ นที ก็อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยพักที่บ้านพักราชินีซึ่งอยู่ใกล้กับสน.ดุสิต

ที่มา : http://m.posttoday.com/local/scoop/460630

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 13:29:06 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #67 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2014, 08:37:22 »



"กษัตริย์" แปลว่านักรบ หน้าที่ของพระมหากษัตริย์โดยหลักจึงได้แก่การป้องกันขอบขัณฑสีมา
หากแต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงบำเพ็ญพระองค์ได้
"สมหน้าที่" และ "วิเศษกว่าหน้าที่" ของความเป็นกษัตริย์หลายเท่าพันทวี

พระราชสถานะ พระราชสมัญญา รางวัลสดุดีพระเกียรติคุณ คือ เครื่องหมายอันปรากฏแสดงให้คนไทยได้ตระหนักว่า
 เราทั้งหลายโชคดีแค่ไหนที่มีพระประมุขผู้ประเสริฐสุด เพราะเหตุว่า "ทรงเป็นยิ่งกว่ามหากษัตริย์"









  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 13:57:06 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #68 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 14:01:31 »



"...ต้องขอร้องทุกคนที่ขอให้ ทรงพระเจริญ
ให้ทำหน้าที่ เพราะถ้าพูดหรือคิดขึ้นมาว่า
ขอให้ทรงพระเจริญ เป็นคำลอยๆ เก๋ๆ ตามสมัย
โดยเฉพาะในวันเฉลิมพระชนมพรรษายิ่งต้องพูด..อย่างนั้นแล้วก็จะไม่ได้ผล
แต่ถ้านึกว่าทรงพระเจริญ หมายความว่าประเทศของเรา
จงเจริญ ก็เกิดหน้าที่ขึ้นมา
แต่ละคนเกิดหน้าที่ต่อประเทศชาติ..."

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งแก่บรรดาครูและนักเรียนที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรให้
 "ทรงพระเจริญ" ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑


 





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 14:09:17 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #69 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 14:19:26 »






'ให้ทำตามหน้าที่...จะประชวรหรือไม่..ก็ต้องทำ'

เช้าวันหนึ่งช่วงต้นปี 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงดพระราชกิจวันนั้น แล้วบรรทมมีไข้สูงอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ผลจากห้องแล็บออกมาว่าทรงมีการปอดบวมจากการติดเชื้อไมโครพลาสมา ซึ่งทำให้ทรงมีพระอาการคล้ายกันกับโรคไข้รากสาดใหญ่

ในระหว่างที่ทรงพระประชวรหนักคราวนั้น สมเด็จย่าได้เสด็จมาทรงช่วยดูแลด้วย เมื่อเสด็จมาถึงห้องพระบรรทมพระเจ้าอยู่หัว สื่งแรกที่สมเด็จย่าทรงทำคือ ทรงเปิดพระแกล (หน้าต่าง) ทุกบานออกทันที เพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์

เมื่อทรงค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็รับสั่งให้ทุกคนทำงานตามหน้าที่ของตนต่อไป...

...เพราะทรงไม่เห็นเหตุผลใดๆ เลย ที่ใครๆ จะต้องหยุดทำงานประจำเพราะพระองค์ท่านทรงประชวร มีพระราชกระแสว่า...

"เคยบอกไว้...ว่างานประจำต้องทำอยู่แล้ว

ถึงไม่บอกให้ทำก็ต้องทำ...ไม่ต้องให้สั่งซ้ำอีก...

...จะประชวรหรือไม่ก็ต้องทำตามนโยบายที่สั่งไว้แต่ต้น"





ตามรอยพ่อ

พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงอาบพระเสโทต่างพระอุทกธารา...
.
พระเจ้าอยู่หัวฯ ของคนไทย กับพระเสโทที่หลั่งไหลออกมาอย่างชุ่มโชกพระวรกาย
 อันเป็นภาพที่คุ้นตาและซาบซึ้งในพระเมตตาคุณและพระกรุณาธิคุณของพระองค์
ที่ทรงให้กับคนไทยทุกคนมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
 อย่างที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า... “ทำงานอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ”
.
ครั้งหนึ่ง...คราวเสด็จพระราชดำเนินทรงงาน หลังจากขบวนเสด็จฯ เคลื่อนไปไม่นาน
 ทรงตรัสมาทางวิทยุว่า..."หยุดขบวนสักประเดี๋ยว ขอหยุดจับตัวยึกยือก่อน"
.
ปรากฏว่า...มีตัวหนึ่งติดอยู่ที่พระศอ ทรงปลิดออก
 แล้วทรงปล่อยตัวทากลงข้างทาง
 ทรงตรัสว่า "โถ..เขามาขอทาน ขอเลือดไปถึงสองซีซี ให้เขาไปเถอะ"

 



  'พ่อคือแบบอย่างของความอดทน มุ่งมั่น'

"...พระเจ้าอยู่หัว ๕๙ ปีนี่ทุกข์ยากมากๆ ผลพวงออกมาก็ตอนพระชนมายุ ๗๒ พรรษา
 ทรงเสด็จมาประทับที่วังไกลกังวล หัวหิน ก็เพื่อรักษาอาการปวดพระปฤษฎางค์(หลัง)
ให้เข้าที่ เท่าที่รับทราบมาต้องใช้เวลากว่า ๓-๔ เดือน
ทรงใช้จนพระวรกายสึกหรอ ภาษาชาวบ้านเรียกอย่างนั้นดีกว่า แล้วเราจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร

ฐานะพระเจ้าแผ่นดินก็เปรียบเหมือนคนสูงสุดอยู่บนยอดพีระมิด
 แต่แทนที่พระองค์ท่านจะประทับอยู่บนยอดพีระมิดสบายๆ
ต้องอยู่ก้นกรวย ต้องมารองรับ ทุกอย่างเทมาใส่พระองค์ท่านหมด
ทั้งคนจนคนรวยอะไรไม่รู้ ใครตีกันที่ไหนก็ถึงพ่อของแผ่นดิน
ข้าราชการตีกัน นักการเมืองตีกัน พระตีกัน ไม่มีเว้นสักกลุ่ม
 สนุกสนาน อะไรกันไม่รู้ ตีกันทั่ว ไม่มีคู่กัดก็กัดตัวเอง
นั่งขย้ำแขนกัน เสร็จแล้วพอแก้ไม่ตกก็ถวายฎีกา

พระองค์ต้องอดทนตลอดเวลา ๕๙ ปีกว่า พวกเราอายุราชการอย่างมากก็
 ๔๐ ปี รับราชการอายุ ๒๐ เกษียณอายุ ๖๐ ..เพราะฉะนั้นเรื่องความอดทนนั้น
 ขอให้มองพระเจ้าอยู่หัวไว้ แล้วพยายามทำตามให้ได้..."


Edit ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จาก'หลักธรรม ทำตามรอยพระยุคลบาท'

ท ร ง พ ร ะ เ จ ริ ญ ยิ่ ง ยื น น า น
 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 14:14:04 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #70 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 14:58:51 »





พระองค์ผู้ทรงทุ่มเทเพื่อคนไทยได้ร่มเย็น...
.
หลายปีมาแล้ว...เมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย
 ได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ ๆ ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่า...
.
แม้ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ยังไม่เสด็จฯ ขึ้นห้องพระบรรทม
 แต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่อยู่อย่างใกล้ชิด ด้วยทรงห่วยใยราษฏร
จึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เอง ถามไปทางหาดใหญ่ว่า..."น้ำลดแล้วหรือยัง"
.
โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
 คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์เมื่อเวลาตีสองตีสาม มีข้อความที่ตอบด้วยความไม่พอใจว่า
..."ถามอะไรอยู่ได้ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คนเขาจะหลับจะนอน"
 แต่ตอนท้ายของคำตอบก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า "น้ำลดแล้ว"

.
( โดย ถาวร ชนะภัย / น้ำลดหรือยัง )


 


ผลงานของ สุทธิศักดิ์ โกยสวัสดิ์
เทคนิค ลงสีพลาสติกเป็นพื้นหลัง
 แล้วระบายสีน้ำแบบเคลือบ


ดั่งหยาดฝนชโลมใจ
ยามใดปวงประชาทุกข์ร้อน
พระองค์ทรงเป็นดังหยาดฝนชโลมใจ

"ทรงพระเจริญ"





'ร่วมมือกันทำเพื่อส่วนรวม'

"...การที่จะทำงานเพื่อความมั่นคงและก้าวหน้านั้น
 มิใช่ว่าจะก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของแต่ละคนเท่านั้น
 จะต้องมีความร่วมมือสัมพันธ์กันระหว่างหน่วยงานทุกหน่วย
 เพื่อให้งานรุดหน้าไปพร้อมเพรียงกัน ไม่มีลดหลั่น

จึงขอให้ทุกคนพยายามที่จะทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่
 และมีการประสานสัมพันธ์กันให้ดี เพื่อให้
งานทั้งหมดเป็นงานที่เกื้อหนุนสนับสนุนกัน ไม่ใช่ทำลายกัน
ขอให้ทุกคนพิจารณาโดยรอบคอบถึงหน้าที่
และการงานของตนเพื่อให้เป็นผลดีแก่ส่วนรวม
 ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองมีความมั่นคง และแต่ละคนจะได้
สามารถมีชีวิตต่อไปได้โดยอาศัยผืนแผ่นดินไทยเป็นที่อยู่

ขอทุกคนจงมีแต่กำลังใจที่เข้มแข็งและกายที่เข้มแข็ง
เพื่อให้ปฏิบัติงานได้ และให้ประสบแต่ความสำเร็จและความเจริญ..."


พระบรมราโชวาท ในโอกาสพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ
 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๓





"ภาพแห่งความสุข"
แม่ของแผ่นดินทรงทนุถนอมลูกลิงน้อย
 ที่ชาวบ้านถวายเมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมราษฎร




ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียหายชีวาถ้าสิ้นไป






ภาพ ทูลกระหม่อมอาจารย์ทรงเริ่มงานที่มัฆวาน
"ด้วยใจจงรัก
จึงสมัครเป็นทหาร
เพื่อสรรค์สร้างงาน
คุ้มประเทศบำรุงไทย"


เย็นศิระ เพราะพระบริบาล อย่างแท้จริง
เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของข้าพระพุทธเจ้าฯ
เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของชาวไทยใต้ร่มพระบารมีทุกคน
ด้วยพระเมตตาคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
 ขอทรงพระสิริสวัสดิ์ มีพระพลานามัยที่ดีและแข็งแรง
 ทรงพระชนมพรรษาที่ยืนยาว ทรงพระเกษมสำราญพระวรกายและพระทัย
 ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญพระพุทธเจ้าข้า
 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ กราบแทบพระบาท

 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 14:16:02 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
♥✿ (เอ๋) ✿♥
สมาชิกกิตติมศักดิ์วีไอพี
✤ Webmaster ✤
ยอดปรมาจารย์ C11

Diamond Hero 9
*

พลังน้ำใจ: 246882
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 370,707



« ตอบ #71 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 15:08:12 »



<a href="http://www.youtube.com/v/leaNj5CXNFg?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=33FFFF&amp;amp;color3=33FFFF&amp;amp;border=1&amp;=1&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/leaNj5CXNFg?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=33FFFF&amp;amp;color3=33FFFF&amp;amp;border=1&amp;=1&amp;loop=1</a>

สวัสดีค่ะคุณFIRE ขออนุญาตนำบทเพลงนี้มาวางน๊ะค๊ะ
"หอมแผ่นดิน" เป็นบทเพลงที่ไพเราะมากๆ ทำให้นึกถึงพระองค์ท่าน
และพระราชกรณียกิจต่างๆ รวมทั้งราษฏรของท่านที่มีวิถีชีวิต
แบบพออยู่พอกิน หรือปรัชญาแนว "เศรษฐกิจแบบพอเพียง"
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #72 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 16:11:30 »



"นี้รูปพระเจ้าแผ่นดิน เก็บดีๆ แด้นั้น
เอาไว้ในห้องพระ กราบไหว้บูชา พระพุทธเจ้านะนั้น”
พระครูภาวนาภิรัต วิ. (หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ)
วัดป่าอาจารย์ตื้อ ต.สันมหาพน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

“วันหนึ่งข้างหน้า...
ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก”
“ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ”
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระวิปัสสนาจารย์ผู้เคร่งครัดในศีล และเชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐาน

“ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์”
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พระธรรมทูตที่ได้รับการยอมรับว่าแตกฉานในพระไตรปิฎกและวิปัสสนากรรมฐาน




แผ่นดินนี้เป็นของใคร?

หลายคนเคยสงสัยไหมครับ ว่าแผ่นดินไทยที่เราเหยียบนี้ เป็นของใคร
 บ้านที่เราซื้อมามีโฉนดชื่อเราอย่างถูกต้อง เป็นของเราจริงเหรอ?

คุณเคยรู้ไหมครับ ว่าเมื่อพ.ศ.๒๔๓๖ เกิดเหตุการณ์ที่เราเรียกกันว่า วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒
 ไทยเราถูกกองเรือฝรั่งเศสรุกเข้าสู่พระนคร นำปืนเรือจ่อพระบรมมหาราชวัง
โดยสั่งให้ไทยชำระเงินค่าเสียหาย๓ล้านฟรัง(ราว ๑,๕๖๐,๐๐๐ บาท)
ภายใน๔๘ชม. มิฉะนั้น ฝรั่งเศสจะยึดไทยเป็นเมืองขึ้น

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไม่เป็นอันเสวยหรือบรรทม
 จนประชวรหนัก เพราะเหตุทรงเจ็บช้ำพระราชหฤทัย
ขมขื่นและระทมทุกข์ จากชาติฝรั่งเศสที่เข้ามารุกรานแผ่นดินสยาม
 จนท้อพระทัยว่า พระนามของพระองค์จะถูกลูกหลานในอนาคตติฉินนินทาไม่รู้จบสิ้น

"เงินถุงแดง"มรดกจาก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๓
 จึงถูกนำมาเป็น"ค่าไถ่แผ่นดิน"คืนจากฝรั่งเศส
โดยนำไปสมทบกับเงินในท้องพระคลังหลวงที่มีอยู่ก็ยังไม่พอกับเงิน ๓ ล้านฟรังก์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ พระบรมวงศานุวงศ์

ตลอดจนข้าราชการ จึงช่วยกันถวายเงิน ทองและสร้อย เพชรนิลจินดาไปแลกเป็นเงินเหรียญ
 รวบรวมใส่ถุงขนออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูต้นสน
ไปยังท่าราชวรดิษฐ์กันตลอดทั้งวันทั้งคืนออกไปหลายเที่ยว

เนื่องจากมีเวลาจำกัดเพียง ๔๘ ชั่วโมง
 กล่าวกันว่าน้ำหนักของเงินเหรียญที่ใส่รถออกไปหลายเที่ยว
ทำให้ถนนเป็นรอยสึกเพราะน้ำหนักของเงินเหรียญจำนวนมากมายมีน้ำหนักถึง ๒๑ ตัน

สุดท้ายสยามก็ชดใช้เงินให้ฝรั่งเศส๓ล้านฟรัง
พร้อมกับต้องแลกกับการเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และยึดเอาจันทบุรีกับตราดไว้เป็นประกัน

ทีนี้คุณรู้หรือยังครับ ว่าแผ่นดินไทยที่เรายืนอยู่นี้ เป็นของใคร?

.....................................................................


เงินถุงแดง มรดกจากรัชกาลที่ ๓ ที่ช่วยรักษา
“เอกราช” ของชาติไว้ ในเวลาต่อมา


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓
ทรงเป็นคนเก่งหลายด้าน จนแทบไม่น่าเชื่อว่าคนคนเดียวจะมีคุณสมบัติได้มากมายถึงขนาดนี้
 แต่ก็เป็นความจริง ทรงเป็นทั้งกวี นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์
 นักการทหาร นักการศึกษา ภูมิสถาปนิก อุบาสกผู้ทะนุบำรุงพุทธศาสนา ผู้อุปถัมภ์ศิลปะไทย

และเป็นนักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จดีเลิศ อย่างหลังสุดนี้คือ
 ทรงค้าสำเภา ส่งของไปค้าขายกับเมืองจีน
ตั้งแต่ยังทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ในรัชกาลที่ ๒
 ถึงขั้นร่ำรวยจนพระราชบิดาทรงเรียกว่า "เจ้าสัว"

สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไม่ได้เสด็จออกไปเมืองจีนเอง
 แต่ทรงมอบให้ขุนนางไทยเชื้อสายจีนที่ไว้วางพระราชหฤทัย
 ให้จัดการบริหารงานค้าขายให้แทน ขุนนางผู้นั้นก็ได้ทำงานถวายด้วยความซื่อสัตย์ตลอดชีวิต
 จนบั้นปลายได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นเป็น
" เจ้าพระยานิกรบดินทร์" ต่อมาในรัชกาลที่ ๖

เมื่อมีพระราชบัญญัตินามสกุล ลูกหลานเจ้าพระยานิกรบดินทร์
จึงได้รับพระราชทานนามสกุลว่า " กัลยาณมิตร"
ด้วยเหตุที่ต้นสกุลได้รับพระกรุณายกย่องเป็น
"มิตรที่ดีงาม" ในรัชกาลที่ ๓
 ส่วนเงินกำไรที่สมเด็จพระนั่งเกล้าฯได้มาเป็นเงินส่วนพระองค์นี้
 มิได้ทรงใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงใดๆ
หรือยกให้พระราชโอรสธิดาตามพระทัยชอบทั้งที่มีสิทธิ์ทำได้ แต่ทรงนำมาใส่ถุงแดง

แยกเป็นถุง ถุงละ ๑๐ ชั่ง ตีตราปิดปากถุง
เก็บไว้ในหีบกำปั่นข้างห้องพระบรรทม ส่วนหนึ่งทรงเก็บไว้เพื่อสร้าง
 และทะนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ ทั้งในพระนครและภายนอก
 อีกส่วนหนึ่งก็ทรงยกให้แผ่นดิน มีพระราชดำรัสว่า
"เอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง" หมายถึงว่าถ้าต้องเพลี่ยงพล้ำกับข้าศึกศัตรูแล้ว
 จะได้นำเงินนี้ออกมาใช้กอบกู้บ้านเมือง

พระราชดำรัสนี้น่าประหลาดตรงที่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี
จนถึง ร.ศ. ๑๑๒ ก็เกิดเป็นความจริงขึ้นมา
 เมื่อไทยถูกฝรั่งเศสปรับโทษเป็นเงิน ๓ ล้านฟรัง
จนท้องพระคลังมีไม่พอ ก็ได้ ‘ เงินถุงแดง ‘
ส่วนนี้ไปสมทบ ไถ่บ้านเมืองเอาไว้ได้จริงๆ
 แสดงว่าเงินถุงแดงที่ทรงสะสมไว้ มีจำนวนมากมายทีเดียว

สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยบ้านเมืองยิ่งกว่าเรื่องส่วนพระองค์
จวบจนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ เมื่อประชวรหนักใกล้เสด็จสวรรคต
ก็มิได้ทรงพะวงกับเรื่องอื่นนอกจากความสงบสุขของแผ่นดิน
 ถึงกับพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ขุนนางข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้า ไว้เป็นครั้งสุดท้ายว่า

"การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว
 จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิด
ควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว"

น่าประหลาดอีกเช่นกัน ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลในเรื่องนี้อย่างแม่นยำเช่นเดียวกับเรื่อง
‘ เงินถุงแดง ‘ เพราะถ้าเรานึกถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยประสบอยู่ในปัจจุบัน
แม้เวลาล่วงเลยหลังจากเสด็จสวรรคตมาแล้วถึง ๑๔๙ ปี

พระบรมราโชวาทเรื่องนี้ก็ยังเป็นสิ่งทันสมัย
ควรแก่การนำมาบทวนและเตือนใจคนไทยอีกครั้งหนึ่ง
-----------------------------------

Cr. ขอบคุณข้อมูลจาก @Kamollak Pakkrueapan




  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 14:21:47 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #73 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 16:43:04 »



ในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรตามภาคต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น จะมีการบันทึกไว้โดยละเอียดทุกครั้ง และในตารางที่สรุปพระราชกรณียกิจในรอบหนึ่งๆ จะบอกสถานที่ วัน เดือน ปี รวมทั้งพาหนะที่ใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินด้วย ยกตัวอย่างเช่นในช่วงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งมี ๓๖๕ วัน มีพระราชกรณียกิจที่มีหมายกำหนดการถึง ๙๑๓ ครั้ง เสด็จพระราชดำเนินเป็นระยะทาง ๒๘,๓๗๗.๑ กิโลเมตร
ส่วนพาหนะที่ใช้เสด็จพระราชดำเนินนั้น มีทั้งรถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ ซึ่งใช้อักษรย่อในตารางว่า “ร” และยังมีอักษรย่ออีกคำว่า “ว” เมื่อดูคำอธิบายด้านล่างตาราง จึงรู้ความหมายที่อธิบายไว้ว่า “ทรงเด่น”




“จะหลับลงได้อย่างไร...ในเมื่อประชาชนไม่มีที่จะนอน”
พระราชกระแสรับสั่งของ “ในหลวง”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรับห้องประทับพักผ่อนมาเป็นห้องทรงงาน เพื่อพระราชทานแนวทางแก้ปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมเมื่อคราวเกิดน้ำท่วมใหญ่เดือน ตุลาคม ๒๕๕๔
สถานการณ์น้ำท่วมในขณะนั้น วิกฤติอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยพสกนิกรเป็นอย่างยิ่ง โดย นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้เปิดเผยว่า พระองค์ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วมในทุกพื้นที่ แต่ละวันทรงงานและให้เจ้าหน้าที่กราบทูลรายงานสถานการณ์น้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีข้อมูลทั้งในส่วนของโรงพยาบาลศิริราชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับการทอดพระเนตรริมแม่น้ำเจ้าพระยาบ่อยครั้ง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยพสกนิกรชาวไทยเสมอ ทรงทราบถึงความเดือดร้อนและยังทรงงานตลอดเวลา ชั้น ๑๖ โรงพยาบาลศิริราช ทรงปรับห้องประทับพักผ่อน มาเป็นห้องทรงงานส่วนพระองค์ พระราชทานพระราชดำริแก้ปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงประทานสัมภาษณ์ในช่วงระยะเวลานั้นว่า"..พระองค์ท่านทรงตรากตรำทำงานเพื่อประชาชนคนไทยมาเป็นเวลา ๖๐ กว่าปี ตอนนี้ท่านประชวร พระชรา แม้ว่าอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยพระชนมายุ ๘๔ ปี ท่านจึงไม่สามารถที่จะตรากตรำออกพื้นที่ได้ แต่ว่าไม่ใช่ไม่ทรงสนพระทัย ทรงเรียกกรมชลประทานมาเสมอๆ และพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างเขื่อน เกี่ยวกับการเก็บน้ำ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทรงทำตลอดเวลา.."

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 14:24:32 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #74 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2014, 16:54:46 »



ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการบรรยายพิเศษที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไว้ว่า...

"ทราบหรือไม่...ทุกครั้งที่มีพระอาการประชวรเข้าโรงพยาบาลศิริราช

...คำสั่งแรกจากพระองค์ท่านคืออะไร? ...

ทรงบอกให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์...

...เพราะขณะประชวร ก็จะทรงงานด้วย..."

นอกจากภาพถ่ายทางอากาศที่ผู้ถวายงานจะนำมาให้ในหลวงทอดพระเนตรทุกวันแล้ว แพทย์ผู้ถวายการรักษายังเล่าว่า ในหลวงทรงติดตามข่าวสารความทุกข์ร้อนของประชาชนจากทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทีวี หรืออินเทอร์เน็ต ดังที่เราจะได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณจากข่าวในพระราชสำนักอยู่เสมอ เช่น ทรงมีพระราชสาส์นถึงมิตรประเทศในโอกาสต่างๆ ตลอดจนการพระราชทานความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนผ่านทางพระบรมวงศานุวงศ์และองคมนตรีอยู่ตลอดเวลา





เมื่อประมาณเจ็ดร้อยปีที่ล่วงมา หลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งมีความว่า

"ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุน บ่ไร้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่เมืองนี้จึงชอบ"

ในกาลต่อมาประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้ว่า ก่อนกรุงรัตนโกสินทร์จะครบสองร้อยปี สมเด็จพระธรรมิกราชพระองค์นี้ หาได้ทรงแขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูกำแพงพระตำหนักจิตรลดาไม่ แต่ได้เอาพระราชหฤทัยสอดส่องทุกข์สุขของพสกนิกร เสด็จรอนแรมไปทั่วทุกจังหวัด เพื่อทรงบำบัดบรรเทาทุกข์จนถึงตัวราษฎร์ พูดกันง่ายๆ ว่า ทรงบริการถึงหัวกระไดบ้าน ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง โดยมิได้ทรงห่วงถึงภยันตรายและความลำบากส่วนพระองค์ แม้จะไม่ได้สรงและเสวย

นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ จนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ในโลกนี้ยังมีพระมหากษัตริย์อยู่เพียงพระองค์เดียวที่ทรงทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกร ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้ต้องทำ แต่ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยด้วยพระองค์เอง เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎร์
***

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 14:51:29 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
แท็ก:
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 ... 20   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค "เว็บมหาชน คนมหาโชค"
 
คติ "กินอยู่อย่างพอเพียง เสี่ยงโชคแต่พอควร"
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย
คำเตือน -ทางเว็บไม่ได้ทราบเป็นการล่วงหน้าว่าหวยทางกองสลากจะออกตัวไหน แต่เราใช้การวิเคราะห์หรือประเมินตามหลักสถิติ
หรือวิธีการอื่นว่า เลขที่มีโอกาสออกมากที่สุดในแต่ละงวดควรจะเป็นเลขอะไรเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ การเล่นหวยถือว่ามีความเสียงมาก
Sitemap | Contact | WAP | xHTML | iMode | WAP 2 | RSS

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines | Sitemap
อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน ©
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.403 วินาที กับ 23 คำสั่ง
Copyright (c) 2008-2022 apichokeonline.com