อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน
28 มีนาคม 2024, 16:25:17 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ผลงานห้อง VIP (งวด 16 มี.ค.67)
อ.apichoke ปักหลักสิบหน่วย เข้า 2-6
อ.janya ถูกตรงเลขท้ายย๒ตัว 78
อ.goodrich ถูกตัวกลับเลขท้ายย๒ตัว 87
อ.พริม ฟันธงชุดเดียว ถูกตรงๆ เลขท้าย๒ตัว 78

ออก 626-78
   หน้าแรก   หวยรัฐบาล SUPER VIP หนังสือหวย VIP สมัคร vip ช่วยเหลือ แท็ก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก Register  
ฝากภาพ i-pic
หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ... 20   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แล้วใครล่ะ...จะไม่รัก..  (อ่าน 829210 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« เมื่อ: 17 เมษายน 2014, 23:22:24 »




พระราชประวัติ ของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี

ราชวงศ์จักรี
รัชกาลที่ ๑.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๒
รัชกาลที่ ๒.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๓ และ ๔
รัชกาลที่ ๓.. เป็นพี่ รัชกาลที่ ๔
รัชกาลที่ ๔.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๕
รัชกาลที่ ๕.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๖ และ ๗
รัชกาลที่ ๕.. เป็นปู่ รัชกาลที่ ๘ และ ๙
รัชกาลที่ ๖.. เป็นพี่ รัชกาลที่ ๗
รัชกาลที่ ๖.. เป็นลุง รัชกาลที่ ๘ และ ๙
รัชกาลที่ ๗.. เป็นอา รัชกาลที่ ๘ และ ๙
แต่พ่อ ของรัชกาลที่ ๘ และ ๙ ไม่ได้ ขึ้นครองราชย์ เนื่องจาก เสียชีวิต ไปก่อนหน้านั้น
รัชกาลที่ ๘.. เลยขึ้น เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ
รัชกาลที่ ๘.. เป็น พี่รัชกาลที่ ๙
รัชกาลที่ ๙.. เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ ต่อ จน ๗o ปี แห่งการครองราชย์ พระชนมายุ ๘๙ พรรษา
รัชกาลที่ ๙.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๑o

ระยะการครองราชย์ ในแต่ละรัชกาล...

โปรดคลิกอ่าน
http://kaijeaw.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4/




ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ ซึ่งนับเป็นวันเริ่มต้นแห่งราชวงศ์จักรี



คลิกเข้าชม..ตามลิงค์นี้..ท่านจะเห็นภาพที่ท่านประทับใจ
แล้วใครล่ะ...จะไม่รัก..

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=530521 "
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=530521 "








<a href="http://www.youtube.com/watch?v=mjL30xVDqV8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=mjL30xVDqV8</a>

สามพระองค์ หาชมยาก ฟังเสียงด้วย

ทรงพระเจริญ
 
 " ในหลวง"
ขอขอบพระคุณผู้ทำคลิปนี้อย่างยิ่ง
 เป็นภาพที่หาได้ยากที่สุดในโลก
 ดูแล้วช่วยกันแชร์นะ




  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2017, 08:10:06 โดย FIRE » บันทึกการเข้า

FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #1 เมื่อ: 19 เมษายน 2014, 14:20:23 »


" องค์มหาราช " ผู้ทรงไม่เคยนึกถึงความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นที่ตั้ง.... "องค์มหาราช " ผู้ทรงคิดถึงเพียงเรื่องปากท้องของลูกๆๆเป็นสำคัญแล้วหยิบมาเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์.... "องค์มหาราช " ผู้ทรงโอบอุ้มคุ้มครองแผ่นดินแห่งนี้ด้วยหัวใจทรงธรรม...." องค์มหาราช" ผู้ทรงธรรมทำทุกอย่างจากพระราชหฤทัยมุ่งมั่น... " องค์มหาราช " ผู้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญแห่งผืนแผ่นดิน.... " องค์มหาราช " ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะทรงสถิตอยู่ในหัวใจพสกนิกรของพระองค์ไปตราบนานเท่านาน..
ขอบคุณที่มาชมรมรักในหลวง
ทรงพระเจริญ
 
สารคดี My King ในหลวงของเรา
<a href="http://www.youtube.com/v/UIeQCaZNIGc?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/UIeQCaZNIGc?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>


  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2017, 08:21:29 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #2 เมื่อ: 19 เมษายน 2014, 14:38:08 »


“เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ศาสตร์พระราชา.. เพื่อประชาทั้งปวง

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ประโยคที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เป็นประโยคที่ประจักษ์ชัดอยู่ในหัวใจคนไทยตลอดมา

พระราชกรณียกิจที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติมาโดยตลอดนั้น คือการอุทิศพระวรกายและพระสติปัญญาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ในการที่จะนำความสุข ความเจริญ และความสงบยั่งยืนมาสู่ชาวไทยทุกหมู่เหล่า และด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อคนไทยและความรักที่คนไทยมีต่อพระองค์ ประชาชนจึงเรียกพระองค์ท่านว่า “พ่อของแผ่นดิน” แต่ในความเป็นจริงพระองค์ท่านยังทรงเป็นเสมือน “ครูของแผ่นดิน” ที่ยิ่งใหญ่ของโลกอีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ มีความรอบรู้อย่างลึกซึ้ง ทรงเป็นนักการศึกษาและนักพัฒนาในคราวเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ และพระวิสัยทัศน์ในด้านการศึกษา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนจิตรลดา ขึ้นสำหรับพระราชโอรส พระราชธิดา บุตรข้าราชบริพาร ในพระราชวัง ตลอดจนเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้เข้าศึกษาด้วย ต่อมายังทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งโรงเรียนราชวินิต ขึ้นในช่วงปี ๒๕๑๒ รวมทั้งการที่ทรงลงมาพระราชทานสอนนักเรียนในโรงเรียนวังไกลกังวลด้วย


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะถิ่นทุรกันดาร ทรงทราบถึงปัญหาการขาดแคลนสถานศึกษาของเด็กและเยาวชน จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เช่น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ฯ นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนที่ทรงจัดตั้งขึ้นตามพระราชประสงค์ พระราชดำริ และโรงเรียนที่ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์เอง

นอกจากนี้ ยังพระราชทานความรู้แก่ประชาชนผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ทรงจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งรวมสรรพวิชา วิชาการ การค้นคว้าทดลอง และการสาธิตด้านเกษตรกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้สำหรับนำไปสู่การปฏิบัติจริงแก่เกษตรกร

จนเห็นได้ชัดว่าสามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ผ่านการน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงไปเป็นหลักในการดำเนินชีวิตนั่นเอง

ศาสตร์พระราชา เป็นศาสตร์ที่ทันสมัยมาตั้งแต่เมื่อ ๖๐ กว่าปีที่แล้ว โดยหัวใจสำคัญคือ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” เป็นศาสตร์ที่ใช้ได้กับทุกมิติ ดังเช่นโครงการหลวงที่เข้าไปช่วยเหลือชาวเขา ให้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนการปลูกฝิ่น

นั่นคือ พระองค์ท่านทรงเข้าใจของปัญหาชาวเขา ทำให้เข้าถึงปัญหาที่แท้จริง จึงนำมาซึ่งโครงการพระราชดำริ เพื่อพัฒนาพวกเขาเหล่านี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจนเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก


ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ควรมีความรู้และคุณธรรมที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย การประพฤติปฏิบัติต่อกันของคนในสังคมก็ต้องอยู่ในความพอเพียง คือจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ล้วนแต่ต้องอยู่ในความพอเพียงทั้งสิ้น ความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดออม อดกลั้นก็รวมอยู่ในปรัชญานี้ด้วย         

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีเทคนิควิธีสอน การถ่ายทอดความรู้ จะเห็นได้จากพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชนิพนธ์ พระราชกรณียกิจ พระราชจริยวัตร และพระราชดำริหลากหลายประการ

ทรงแนะ ทรงสอน และทรงเป็นแบบอย่างผ่านพระราชกรณียกิจที่ทรงทำเพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทั้งสิ้น พระองค์จึงไม่เพียงแต่เป็นครูของคนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นครูของชาวโลกอีกด้วย



ศาสตร์พระราชาและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นับเป็นศาสตร์อันลึกซึ้งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงทุ่มเทพระวรกายมาถึง ๗๐ ปีแห่งการครองราชย์ พระราชทานความรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ทวยราษฎร์ทุกหมู่เหล่า โดยมีโครงการในพระราชดำริเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าเข้าใจ เข้าถึง แล้วพัฒนา โอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ก็จะเกิดขึ้น

ควรที่คนไทยทุกหมู่เหล่าน้อมนำศาสตร์พระราชาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ดุจการเดินตามรอยเท้าพ่อ เพื่อยังประโยชน์สุขให้แก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติตลอดไป.

ที่มา : สำนักข่าวเจ้าพระยา

http://welovethaiking.com/blog/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2/


เหตุใดความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎร จึงได้แน่นแฟ้น ยั่งยืน
คลิกอ่าน
http://www.chaoprayanews.com/2016/10/18/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%83%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/

     เรื่องเล่าเล็กๆจาก เสธ.น้ำเงิน
ขอบคุณที่มาของ...แฉ..ความลับ

18 เม.ย.57 เผย..ข้าวผัดกับไข่ดาวพ่อ  

ตามที่ตั้งใจไว้ คือ จะเล่าเรื่องที่เกิดความประทับใจกับในหลวงของเหล่าทวยราษฎร์
 ผสมกับสถานการณ์บ้านเมือง เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีความมั่นใจในการประพฤติและปฏิบัติดี
 ตามรอยพระยุคคลบาท ประชาชนผู้หลงผิดจะได้กลับเนื้อ กลับตัว หยุดหมิ่นให้ร้ายเบื้องสูง
 และหันมาช่วยกันขับไล่ ป้องกัน ไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ และก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้น
 บัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ
ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตร กลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ
 ของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา จน 29 ปีต่อมา มีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่า
 พระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้น เป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย

หนังสือพิมพ์ลงว่า หากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม.
 เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด
 รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ ที่ไม่มีใครคาดถึง
 คือ ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบว์หลุดอะไรหลุด
 พระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน
 ฝุ่นมันจับพระองค์ท่านก็ทรงปัดออก อย่างมิถือยศศักดิ์ของพระองค์

ครั้งหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเพื่อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนัก
เพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท เพราะจะต้องไปดูงานในป่าในดง ไม่มีใครได้ทานข้าว
 ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ข้าราชบริพารท่านหนึ่งหิวมากรีบจะไปกินข้าวช่วงรอทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท
 เด่นไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จ เขาก็กินกันจนหมดแล้ว
 ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระทะ กับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ ข้าราชบริพารท่านนั้นก็ตักข้าวผัด
 และเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดและไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่
 เพื่อนข้าราชบริพารท่านนั้นก็จะไปหยิบมากิน มหาดเล็กบอกว่า

"ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก"
 มหาดเล็กตักมาจากก้นกระทะเลย ท่านก็เสวยเหมือนๆ กันกับประชาชนเรานี่แหละ
 แค่ข้าวผัดกับไข่ดาวจานเดียว


ลองคิดตามคนๆ หนึ่งถ้าหากว่าเขามีฐานะร่ำรวย จะใช้จ่ายให้สำราญ ฟุ่มเฟือย
เขาจะใช้ประมาณไหน เช่น รับประทานอาหารต่อมื้อ ต่อวัน แค่ไหน
 จะใช้เงินทองให้เป็นประโยชน์เพื่อตนเองเท่าไร หลายคนที่มีโอกาสเสพสุขสำราญ
 กลับกินทิ้งกินขว้าง ใช้จ่ายอาหารแสนแพง ทั้งๆ ที่คุณค่าอาหารมื้อนั้น อาจจะไม่แตกต่างจากข้าวผัดไข่ดาว
 พระองค์ ทรงสอนโดยกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ให้ทุกคนดำเนินตามวิถีพอเพียง
 และรู้สึกเป็นสุขใจในสิ่งที่มีอยู่ขณะนั้น โดยไม่ต้องไขว้คว้าในสิ่งที่เกินกำลังของตนเองให้เกิดความทุกข์
 ทรงทำเพื่อผู้อื่นตลอดมา ซึ่งพระองค์ไม่รู้จักราษฎรทุกคนด้วยซ้ำ



 

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2017, 08:18:21 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
ขวัญเองจ้า
Junior Public Relations
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 52701
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44,899



« ตอบ #3 เมื่อ: 19 เมษายน 2014, 15:42:55 »


สวัสดีค่ะนักคิดคำนวณ และเพื่อนสมาชิกทุกท่านค่ะ
เติมพลังใจดีๆขอบคุณทุกสิ่งดีๆที่มีให้กันค่ะ ขอบคุณจากใจโชคดีนะคะ




 love love love love love love


บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #4 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 08:15:07 »


‘‘เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม’’

เป็นพระปฐมบรมราชโองการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ พระราชทานแก่ชาวไทย

ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยและความใส่พระทัย ที่พระองค์ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย
พระองค์ทรงใส่พระทัยในการทรงงานทุกๆชิ้นเพื่อให้ปวงชนชาวไทยมีความสุขมีความสบายและมีความร่มเย็นในการใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

นับจากวันนั้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึง ๗๐ ปี ที่พระองค์ต้องทรงงานหนัก
ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อความสุขของเราชาวไทย ซึ่งพระองค์ถือว่าเป็นลูกของพระองค์ทุกๆ คน ลูกที่พระองค์ต้องดูแล

<a href="http://www.youtube.com/v/c-kHRHCIYdU?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=00FFFF&amp;amp;&amp;aborder=&amp;autoplay=1&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/c-kHRHCIYdU?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=00FFFF&amp;amp;&amp;aborder=&amp;autoplay=1&amp;loop=1</a>

แฉ..ความลับ..ขอบคุณเสธ.น้ำเงิน
11 เม.ย.57 เผย..เราเป็นไทย เรามาจากไหน
และอัศจรรย์พระสยามเทวาธิราช


คำว่า “กษัตริย์”
หมายถึง นักรบหรือผู้ป้องกันภัย นั่นเป็นเพราะว่าในอดีต
 กษัตริย์จำเป็นต้องรบเพื่อขยายอาณาเขตหาเมืองขึ้น หาที่ทำกินให้ราษฎร
 หาที่อยู่อาศัยให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เมื่อได้อาณาเขตแล้ว ท่านก็ให้การปกป้องผู้อยู่ใต้ร่มโพธิสมภาร
 แผ่บารมีคุ้มครองไม่ให้มีภัยใด ๆ มาเบียดเบียนราษฎร จากภัยข้าศึกศัตรู
ภัยจากธรรมชาติ หรือแม้แต่กระทั่งโรคภัยไข้เจ็บ


ประมาณปี พ.ศ.601 โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นชาวอินเดียได้สมรสกับนางพญาขอม
และต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ครอบครองดินแดนของนางพญาขอม
 ทำการปกครองบ้านเมืองจนทำให้ขอมเจริญขึ้นตามลำดับ มีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปมากขึ้น
 และได้ยกกำลังไปตีอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของละว้าได้
 แล้วก็เข้าตีอาณาจักรทวาราวดีต่อ

ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.1600 กษัตริย์พม่าที่มีความสามารถ คือ พระเจ้าอโนธรามังช่อ
 ได้ยกกองทัพมาตีอาณาจักรมอญไว้ในอำนาจได้ แล้วก็ยกทัพล่วงเลยเข้ามาตีอาณาจักรทวาราวดี
และมีอำนาจครอบครองทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อำนาจของขอมเดิมก็สูญสิ้นไป
ต่อมากษัตริย์พม่าสมัยหลังเสื่อมความสามารถ และมักแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน
 เปิดโอกาสให้แว่นแคว้นต่างๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้น ตั้งตัวเป็นอิสระได้
 อำนาจของพม่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็พลอยเสื่อมโทรมดับสูญไปด้วย

ช่วงนี้ พวกไทยจากน่านเจ้า ได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้น
 คนไทยเหล่านี้ก็เริ่มจัดการปกครองกันเองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
 ฝ่ายขอมก็หวลกลับมาจัดการปกครองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง
 โดยอ้างสิทธิแห่งการเป็นเจ้าของเดิม เนื่องจากชาวไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ยังไม่มีอำนาจเต็มที่
 ขอมจึงบังคับให้ชาวไทยส่งส่วยให้ขอม คนไทยที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ไม่กล้าขัดขืน
 จึงยอมส่งส่วยให้แก่ขอมโดยดี ทำให้ขอมได้ใจ และเริ่มขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือ

ประมาณปี พ.ศ.1111 แคว้นโยนก เป็นเมืองที่สง่างาม ต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อมตั้งขึ้นเป็นแคว้น
 ชื่อโยนกเชียงแสน มีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนาทางใต้จดแคว้นหริภุญชัย
 ถือตนว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของขอมมาก่อน จึงไม่ยอมส่งส่วยให้ตามที่ขอมบังคับ
ขอมจึงใช้กำลังเข้าปราบปรามนครโยนกได้สำเร็จ ขอมจึงสามารถแผ่อำนาจขึ้นไปจนถึงแคว้นโยนก
 พระเจ้าพังคราช กษัตริย์แห่งโยนก ได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเวียงสีทอง

ต่อมา พระเจ้าพรหม พระโอรสพระเจ้าพังคราช ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญ
 ได้สร้างสมกำลังผู้คน ฝึกหัดทหารจนแกร่งกล้าชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอมอีกครั้ง
โดยไม่ยอมส่งส่วยให้ขอม เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ตีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไป
 และยังได้แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอมอีก ได้ถึงเมืองเชลียง และไปถึงลานนา ลานช้าง
 แล้วอัญเชิญพระราชบิดา พระเจ้าพังคราช กลับไปครองโยนกนาคนครเดิม

แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระเจ้าพรหม เองนั้น ลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ
 ให้พระเชษฐา คือ เจ้าทุกขิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่นๆ อีกหลายเมือง เช่น
 เมืองชัยนารายณ์ นครพางคำ ให้เจ้านายองค์อื่นๆ ปกครอง ต่อมา พระเจ้าทุกขิตราช
 ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี ส่วนโอรสของพระเจ้าพรหม ก็ได้ครองเมืองชัยปราการต่อมา

ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบขอมที่กำลังอ่อนแอ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอ
ที่จะแผ่ขยายอาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ อาณาเขตของไทยและขอม จึงประชิดกันอยู่เฉยๆ ต่อมา
 เมื่อสิ้นพระเจ้าพรหม แห่งนครชัยปราการ กษัตริย์องค์ต่อๆ มาอ่อนแอ และหย่อนความสามารถ
 นครอื่นๆ ก้เสื่อมด้วย เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำ

ในปี พ.ศ.1731 มอญกรีฑาทัพใหญ่ มาบุกอาณาจักรขอมจนได้ชัยชนะ ก็เลยเข้ามารุกรานไปถึงเมืองอื่น ๆ
ในแคว้นโยนกเชียงแสน จนไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง
เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย ช่วงนั้นปรากฎว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วมขึ้นอีก
 บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้ว พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง
 เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทองเพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ
 เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่า ขาดผู้ปกครอง

ในระหว่างที่ฝ่ายไทย กำลังระส่ำระสาย เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองละโว้
 ถือสิทธิ์เข้าครองแคว้นโยนกไปเลย แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้น ให้ส่งส่วยให้แก่ขอม
 ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นสองสาย

(โปรดอ่านต่อกระทู้ล่าง)

พระสยามเทวาธิราช
สายแรก น้องชายต่างมารดากัน ชื่อพระเจ้าไชยสิริ อพยพไปทางเมืองแปน (เมืองเก่าในจังหวัดกำแพงเพชร)
 และตั้งตนเป็นใหญ่ครองเมืองอยู่ในที่นั้น ระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่าชัยภูมิไม่เหมาะ
 เพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐม

สายที่สอง พ่อขุนผาเมือง อยู่เวียงสีทวง (อยู่เขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ตอนเมืองถูกขอมตีแตก
 ท่านจึงอพยพข้ามลำน้ำโขง มาทางเวียงของหลวงพระบางเวียงจันทน์ แล้ววกข้ามฝั่งไทยไปทางวังสะพุง
 จังหวัดเลย ล่องมาตามลำน้ำป่าสัก ตีนครเดิด ตีเมืองศรีเทพ จากพวกขอม แล้วกลับไปตังเมืองรวมกำลังอยู่ที่เมืองราด
 ชาวเมืองจึงขนานนามท่านว่า “พ่อขุนผาเมือง”

ญาติของพ่อขุนผาเมืองอีกคนหนึ่ง เป็นลูกของน้าชาย ที่เหมือนพระสหายที่ถูกคอ
 คือ อ้ายท่าวได้อพยพมาตั้งมั่นอยู่ทางเมืองวังกวาง ( เมืองบางยาง อยู่ในอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก)
จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้น ด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสม และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ
 ตั้งตนเป็นใหญ่ชาวเมืองขนานนามว่า พ่อขุนบางกลางหาว ในช่วงแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น
 ก็ต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม เพราะขณะนั้นไทยยังไม่มีอำนาจ

ด้วยเหตุที่ว่ามีราชวงศ์เชื้อสายโยนก อพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น
 ในเวลาต่อมาเมื่อคนไทยอพยพลงมา จากน่านเจ้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้นครไทยมีกำลังมากตามไปด้วย

พ่อขุนผาเมือง เป็นกษัตริย์นักรบรูปงาม และเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
 ดังนั้นกษัตริย์ขอมจึงปรารถนาที่จะได้พระองค์ไว้เป็นราชบุตรเขย มีอุบายยกพระราชธิดาให้
 ขึ้นปกครองเมืองสุโขทัย หวังให้พระราชบุตรเขยนี้เป็นกษัตริย์ของขอมด้วย
 ด้วยอุบายนี้ พ่อขุนผาเมือง ก็ทำเหมือนไม่รู้เท่าทัน จึงยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นพระราชบุตรเขยของกษัตริย์ขอม
 ด้วยมองเห็นช่องทาง ที่จะเอาชนะอำนาจของขอมได้

ในปี พ.ศ.1800 ชาวไทย เกิดความคิดที่จะสลัดแอกจากการปกครองของขอม ดังนั้น พ่อขุนผาเมือง
จึงได้ชักชวน พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เป็นญาติและน้องเขย เข้าร่วมกันวางแผนกอบกู้อิสรภาพให้แก่คนไทย
 แผนการล่อขอมออกจากเมืองสุโขทัย จึงได้ถูกวางขึ้นโดย

โดยพ่อขุนบางกลางหาว นำกำลังจากเมืองบางยาง เดินทางปางชาติตระการ ผ่านบ้านดง บ้านแสนขัน บ้านนาป่าคาย
 บ้านนาลับแลง บ้านท่าเสา เข้าทางทุ่งยั้ง และเข้าตียึดเมืองศรีสัชนาลัย และยึดไว้เป็นฐานที่มั่น
 ส่วนพ่อขุนผาเมืองนำกำลังไปกวาดต้อนผู้คน แถวเมืองบางขลัง
 ที่อยู่ตอนใต้เมืองศรีสัชนาลัย เข้าไปสมทบกันที่เมืองศรีสัชนาลัย

เมื่อกองทัพขอมหลงกล ออกจากกรุงสุโขทัยมาชิงเมืองศรีสัชนาลัยคืน
พ่อขุนบางกลางหาวได้ทำทีว่าสู้รบอยู่ที่เมืองศรีสัชนาลัย โดยนั่งคอช้างออกตระเวนดูแนวรบ
 สมัยนั้นยังไม่มีชื่อว่า “สุโขทัย” พ่อขุนผาเมืองนำกำลังเข้าตีเมืองเดิด เมืองแก่งหลวง เมืองโสโห
 และเมืองโรงโหง แล้วจึงนำกำลังเข้าตีขนาบกองทัพขอมทั้งสองด้าน โดยมีกำลังของพ่อขุนบางกลางหาว
 ยกออกจากเมืองศรีสัชนาลัย ตีไล่จนชนะกองทัพขอมได้โดยเด็ดขาดหนีพ่ายออกไป

เมื่อกองทัพไทยชนะขอมที่เมืองสุโขทัยแล้ว พ่อขุนผาเมืองก็กลับเมืองราด โดยอันเชิญให้
 พ่อขุนบางกลางหาว เป็นปฐมกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
โดยเสียสละไม่ยอมขึ้นครองเป็นกษัตริย์เสียเอง เพราะมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าว่า
 หากตนเองเป็นกษัตริย์แล้ว ก็ย่อมที่จะตกอยู่ในอำนาจขอม และจะเป็นที่หวาดระแวงในกลุ่มคนไทยด้วยกัน
และขุนบางกลางหาวผู้เป็นน้องเขย แลเป็นพระญาติสนิท จึงประวิงให้คิดว่า
 เมืองสุโขทัย ยังมิได้เอาใจออกห่าง เพื่อให้โอกาสกษัตริย์องค์ใหม่ฟื้นฟูแผ่นดิน

นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้า
 สุโขทัย จึงกลายเป็นนครหลวงแห่งแรกของประชาชนเชื้อสายไทย มีความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย ตลอดมา

พ่อขุนผาเมือง ถูกพระมเหสี ที่เป็นขอม รบเร้าให้ยกกองทัพไปชิงเอาเมืองสุโขทัยกลับคืนมาให้ได้
 จึงทำให้พระองค์หนีออกจากเมืองราด ล่องไปตามลำน้ำป่าสัก พร้อมกับพระชายาเดิม ซึ่งเป็นคนไทย
 แล้วไปพักอยู่ที่เมืองศรีเทพ ระยะหนึ่ง พระมเหสีพอรู้ว่าพ่อขุนผาเมืองหนีออกจากเมืองราด
ก็รู้สึกโกรธแค้นถึงกับขนาดทำการเผาเมืองราด แล้วออกติดตามพระสวามี

ตลอดการเดินทางนั้น พ่อขุนผาเมืองได้พลางตัวเป็นคนสามัญ เดินทางไปในที่ต่างๆ
 ต่อไปทางเมืองเวียงจันทน์ เมืองไชย เมืองเชษฐ เดินทางรอนแรมไปอยู่เป็นเวลานับปี
ในที่สุดพ่อขุนผาเมืองก็หยุดพักอยู่ที่เมืองละเม็ง เป็นแหล่งสุดท้าย ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ
 อยู่ทางตอนเหนือของเมืองเชียงแสน ตัดกังวล หันมาสร้างบุญกุศลโดยบูรณะพระธาตุจอมกิตติ
 อันเป็นพระธาตุที่ปู่ของพระองค์ คือ พระเจ้าพังคราช นั่นเอง

แล้วพระองค์ก็เข้าสู่ภูมิในโลกทิพย์ ณ สถานที่สำคัญแห่งนั้น ความเสียสละเพื่อแผ่นดินและชนชาติไทยนั้น
 พระองค์ได้บำเพ็ญบุญญาธิการ จนได้นิมิตเป็น “พระสยามเทวาธิราช “
คอยปกป้องคุ้มครองแผ่นดินสยาม สืบต่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ โดยมีพ่อขุนเม็งราย
 พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นผู้ช่วยเหลือในภพของเทพยดา

ท่านใดหากมีโอกาสแนะนำไปสักการะ อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว วัดกลาง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ,
 อนุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ,
อนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพ่อขุนผาเมือง สี่แยกหล่มสัก เพชรบูรณ์ ก็จะเป็นมงคลกับชีวิต
 และได้ทบทวนถึงที่มารากเหง้าของตัวตน ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน !!

ต่อมาอีกหลายร้อยปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ราชวงศ์จักรี
ทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยมีเหตุการณ์ร้าย เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง
แต่ก็มีเหตุให้รอดพ้นได้เสมอ น่าจะมีเทพยดาคอยพิทักษ์รักษาอยู่ สมควรสร้างรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นไว้สักการบูชา
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ นายช่างเอก
ทรงปั้นรูปเทพยดาที่มีลักษณะเป็นเทวรูปหล่อยืน หล่อด้วยทองคำทั้งพระองค์ งดงามได้สัดส่วนสูง ประมาณ 8 นิ้ว

ทรงเครื่องกษัตริยาธิราช พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นจีบพระดรรชนีเสมอพระอุระ
 องค์พระสยามเทวาธิราชสถิตในเรือนแก้ว ทำด้วยไม้จันทน์แบบวิมานเก๋งจีน
 มีคำจารึกที่ผนังเบื้องหลังเป็นอักษรจีนแปลความว่า เทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ
แล้วทรงถวายพระนามว่า “พระสยามเทวาธิราช” ปัจจุบันประดิษฐาน
ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง พระสยามเทวาธิราช
 จึงเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
 ขอพรให้รวย ขอพรให้รวย ขอพรให้รวย





“พระแก้วมรกต “
 พระพุทธรูปซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และความสุข
 มาสู่ดินแดนผู้ที่ครอบครอง จะทำให้ประเทศซึ่งเป็นประดิษฐาน
 มีอำนาจเหนือดินแดนใดๆ และกษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนเหล่านี้ก็จะอยู่เหนือกษัตริย์อื่นๆ
 ทุกพระองค์ ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมาหลายดินแดนจึงหมายปอง
 อยากที่จะได้พระแก้วมรกตมาไว้ในความครอบครอง แด่บ้านเมืองของตน

และเชื่อว่าหากพระแก้วมรกต ประดิษฐานอยู่ในประเทศใด
 “ พุทธศาสนา ในประเทศนั้นจะเจริญรุ่งเรือง จะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล ”
 นั่นเอง และเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่มาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ
อาจเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ครบถ้วน เพื่อให้เหมาะกับพื้นที่เนื้อหา
 จึงจะเล่าโดยย่อแบบรวบรัด โดยไม่รวมเนื้อหาที่พิสูจน์ได้ยาก
 เพื่อให้ได้จมดิ่งลงไปในภวังค์อดีต ตื่นตะลึงกับพระปรีชาสามารถ
 ของพระมหากษัตย์ไทย ที่ทรงส่งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญอัศจรรย์นี้ มาจนถึงรุ่นพวกเราปัจจุบัน

คลิกชมรายละเอียดที่สมบูรณ์https://www.facebook.com/photo.php?fbid=229340473922654&set=a.229339553922746.1073741974.187529244770444&type=1&theater


ศาลหลักเมือง
ตามประเพณีไทยแต่โบราณมา เมื่อจะมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้น ณ ที่ใดก็ตาม
สิ่งที่จะต้องทำเป็นประการแรกก็คือ หาฤกษ์ยามอันดีฝังเสาหลักเมือง
สิ่งที่จะต้องทำเป็นประการแรกก็คือ หาฤกษ์ยามอันดีฝังเสาหลักเมือง
 แล้วหลังจากนั้นจึงจะดำเนินการสร้างบ้านสร้างเมืองกันต่อไปตามธรรมเนียมพราหมณ์


คลิกอ่านรายละเอียดที่สมบูรณ์https://www.facebook.com/photo.php?fbid=227152267474808&set=a.227151537474881.1073741966.187529244770444&type=1&theater




“ ที่เล่ามาแต่ต้น ผมอยากจะบอกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์เหมาะเหม็งชวนขนลุกมากๆ
 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย
ท่านทรงพระประสูติในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งไปตรงกับวันที่เป็นมงคลฤกษ์
 ฝังเสาหลักเมืองใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นด้วยพอดีเลย !!.

.อะไรจะช่างบังเอิญขนาดนั้น..นี่จึงอาจเป็นคำอธิบายนัยยะว่า
ทำไมพระองค์จึงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน..ขอให้คนไทยทุกคนจงภูมิใจเถิด
ที่ได้เกิดมาอยู่ในรัชสมัยของพระองค์.ทุกอย่างได้ถูกพรหมลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว
 ให้ท่านมาเป็น
"พระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา “

 






  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2017, 08:24:23 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #5 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 08:42:19 »

 เรารักking

















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 13:53:20 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #6 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 09:15:05 »




















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 13:55:54 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
หมวก
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 7326
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,539



« ตอบ #7 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 09:49:07 »

 ส่งใจ +1พลังน้ำใจ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #8 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 10:00:50 »

 
k'g*



















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:00:08 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #9 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 10:29:30 »























 
ทรงพระเจริญ
 



รูปที่มีทุกบ้าน



  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:03:32 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
ขวัญเองจ้า
Junior Public Relations
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 52701
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44,899



« ตอบ #10 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 15:01:16 »


 l|v l|v l|v l|v l|v l|v l|v l|v l|v

บันทึกการเข้า
ขวัญเองจ้า
Junior Public Relations
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 52701
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44,899



« ตอบ #11 เมื่อ: 20 เมษายน 2014, 15:02:07 »


 l|v l|v l|v
 

บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #12 เมื่อ: 21 เมษายน 2014, 13:40:50 »

























  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:07:09 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #13 เมื่อ: 21 เมษายน 2014, 14:01:16 »


90 เรื่องของ “ในหลวง” ที่คนไทยควรรู้....
 อ่านต่อได้ที่ : http://www.chillpainai.com/scoop/7828






* ดูคลิปคำสัมภาษณ์ BBC พ่อของแผ่นดินสมัยหนุ่มๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=VJz1GYWPrWg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=VJz1GYWPrWg</a>
พ่อของแผ่นดิน ได้พระราชทานวัตถุประสงค์
ของโครงการหลวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไว้ 3 ประการ
 คือ "ช่วยชาวเขา- ช่วยชาวเรา-ช่วยชาวโลก"


- ช่วยชาวเขา..คือ เขาจนมาก เราไปช่วยให้เขารวยขึ้น ก็เป็นการช่วยชาวเขา
- ช่วยชาวเรา..คือ ที่อยู่ข้างล่างลงมานี่ ต้นไม้ลำธารไม่ถูกทำลาย
น้ำก็จะไม่ท่วม เมื่อชาวเขาลดการบุกเบิก ตัดไม้ทำลายป่า
- ช่วยชาวโลก..คือ เอาพืชราคาดีๆ ทำรายได้ดีกว่าฝิ่นไปให้เขาปลูก
 แล้วชาวเขาก็จะเลิกปลูกฝิ่นโดยไม่ต้องไปห้ามอะไรเขา
 เมื่อทำอย่างนี้ได้แล้ว ก็แปลว่า ช่วยชาวโลก

 พระองค์ท่านต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะอย่างหนัก
กว่าจะเอาชนะความคิดของคนบนดอยที่มักจะคิดว่า
 "กำฝิ่นไป 1 กำมือได้เงินเต็มหลังม้า” กับ “
ขนผักไปเต็มหลังม้า ได้เงินมา 1 กำมือ" แล้วก็สำเร็จลงได้ในที่สุด
 และปัจจุบันพื้นที่เหล่านั้นก็ปลูกกาแฟ จนมีรายได้มาก

ชาวเขา ชาวเรา และชาวโลก ต่างก็ได้รับประโยชน์จากโครงการหลวง
 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง พ่อของแผ่นดิน โดยถ้วนหน้า

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เคยกราบบังคมทูลถามในหลวงว่า
"เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่"

ในหลวงทรงมีพระราชกระแสตอบว่า
ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก
บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
 เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน
 เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง
 “ คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”


และเหตุที่จึงไม่อาจหยุดทรงงานได้ เพราะ..
”คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก
 ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถ” เท่าที่จะทำได้

ช่วงคนไทยถูกคอมมิวนิสต์ชักจูง พระองค์เสด็จฯ
 เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคอีสาน สื่อมวลชนต่างชาติ
 ได้ขอกราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร
 และมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น
ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่
พระองค์รับสั่งตอบว่า ไม่ได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่
 แต่ทรงสนพระทัยว่า “ประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลง” หรือไม่

มีหลายครั้งที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท
 ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย
 รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ
ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์ ในหลวงจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่
 อยู่ภายใต้แสงไฟฉาย ที่มีข้าราชบริพารส่องถวายอยางไม่สะดุ้นสะเทือน
 อย่างมากที่ทรงทำ คือ “ โบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ “ เท่านั้น
 ทรงมีรับสั่งเรื่องยุง ด้วยพระอารมณ์ขันว่า ที่บางจาก
แต่ไม่มีจาก หรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
 “ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง”
ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง
 “ ลองนับดูได้ข้างละ 150 ตุ่ม สองข้างรวม 300 พอดี "

คราเสด็จที่ นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร
วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
ณ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว
 ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม
 ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก
 จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น
 มีครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ
 แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ
 จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร
โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก
และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย
 แผดเผาจนดอกบัวสายในมือของยายเหี่ยวโรย
แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า
 แม่เฒ่าได้ยก “ดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้น
 “ ขึ้นจบเหนือศีรษะ แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง
พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด
 จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู
 พระหัตถ์ แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชรา ชาวอีสานอยางอ่อนโยน
 ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า
 "หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว
ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม
 พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนม
ให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก"..
ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น
พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิต
 ให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุข ต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆ
ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่ง สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

ถึงเรามีกษัตริย์ที่ มีพระราชวัง ที่ไม่มีทองคำประดับประดา
 อย่างพระราชวังแวร์ไซร์ พระราชวังในรัสเซีย แต่เราเป็นคนไทยคนนึง
ที่ภูมิใจมากที่ กษัตริย์เรามีพระราชวังที่มีนาข้าว โรงสี โรงเลี้ยงวัว



อ่านรายละเอียดที่สมบูรณ์ คลิกท่ี https://www.facebook.com/photo.php?fbid=230335297156505&set=a.230335190489849.1073741978.187529244770444&type=1&theater



“ทำไมคนไทยถึงรักพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ถึงเพียงนี้”
คำถามของชาวโลกที่คนไทยมีคำตอบอยู่เต็มหัวใจ แต่ตอบยาก!!!


ทรงอ่อนโยนทั้งพระวรกาย พระวาจา และพระราชหฤทัยต่อราษฎร

        ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมหาสมาคม ทรงรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม เนื่องในมหามงคลสมัยทรงครองราชย์สมบัติครบ ๖๐ ปีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ ภาพของประชาชนคนไทยที่ใส่เสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกัน แออัดเต็มลานพระบรมรูปทรงม้า และล้นหลามไปตามถนนราชดำเนินนอกจนสุดสายตาในภาพนั้น นับว่าเป็นภาพที่ “เขย่าโลก” ทำให้ชาวโลกตกตะลึงไปตามกัน และตั้งคำถามกันว่า
      
       “ทำไมคนไทยถึงรักพระมหากษัตริย์ของเขาถึงเพียงนี้”
      
       และในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ ท่ามกลางความห่วงใยในพระพลานามัยของเหล่าพสกนิกร จนในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ พระองค์ได้เสด็จลงมาจากที่ประทับชั้น ๑๖ เพื่อถวายบังคมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้พสกนิกรที่มาเฝ้าถวายพระพรในวันนั้นต่างอิ่มเอิบหัวใจ น้ำตาแห่งความปีติไหลรินที่ได้เห็นสีพระพักตร์บ่งบอกถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับเป็นภาพมงคลที่วิเศษสุด ความวิตกกังวลได้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขในทันที และคลื่นแห่งความสุขนี้ก็ได้แผ่กระจายไปทั่วประเทศ ทำให้วันนั้นเป็นวันที่คนไทยมีความสุขที่สุดในรอบปี
      
       เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นข่าวสำคัญในเมืองไทย ยังเป็นข่าวที่กระจายไปทั่วโลก สำนักข่าวทั้งหลายให้ความสำคัญยิ่งกว่าข่าวความเคลื่อนไหวของโลกในวันนั้นอีกหลายข่าว
      
       โลกได้รับรู้ความเป็น King of King ของพระองค์ ที่ทรงเป็นมิ่งขวัญและเทิดทูนสักการะอยู่เหนือเกล้าของปวงชนชาวไทย
      
       คนไทยหลายคนได้รับคำถามจากเพื่อนชาวต่างประเทศอยู่บ่อยๆว่า
      
       “ทำไมคนไทยถึงรักพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ถึงเพียงนี้”

 คำตอบนี้คนไทยต่างรู้ดี และมีคำตอบอยู่เต็มหัวใจ แต่เมื่อให้ตอบ กลับเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะไม่อาจจะจาระไนสิ่งที่เต็มตื้นหัวใจออกมาได้หมด ทุกข้อทุกพระราชภารกิจ ได้แสดงถึงความรักความห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยและพระวรกายอย่างไม่เกรงต่อความเหน็ดเหนื่อย เพื่อแก้ปัญหาและยกฐานะความอยู่เย็นเป็นสุขให้พวกเขา
      
       จากพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ที่ทรงประกาศต่อหน้ามหาสโมสรสันนิบาติ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ จนถึงวันเสด็จสู่สรวงสวรรค์ พระองค์ได้ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม คือจริยวัตร ๑๐ ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้เป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขแก่ประชาชน คือ
      
       ทาน คือการให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “ผู้ให้” มาตลอด ทรงให้ปัญญาความรู้ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทุกย่างก้าวพระบาทไม่ว่าจะเสด็จไป ณ ที่ใด ทรงบำเพ็ญทานบารมีทั้งธรรมทาน อามิสทาน รวมทั้งอภัยทาน คือการให้อภัยผู้ที่ควรได้รับอภัย อย่างสม่ำเสมอ
      
       ศีล คือความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา และใจ ทรงเป็นแบบอย่างและสนับสนุนศาสนิกชนไม่ว่าศาสนาใด ให้ยึดมั่นในศีลธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ เพราะกฎหมายควบคุมได้แต่กาย แต่หลักศีลธรรมทางศาสนาช่วยควบคุมจิตใจ
      
       บริจาค คือการเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม พระราชกรณียกิจต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรากตรำพระวรกายจนเป็นพระมหากษัตริย์ที่พสกนิการได้มีโอกาสเห็นหยดพระเสโท ย่อมยืนยันข้อนี้ได้เป็นอย่างดี
      
       อาชชวะ คือความซื่อตรง ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนและประเทศชาติด้วยความซื่อตรง ทั้งซื่อตรงต่อพระองค์เอง ซื่อตรงต่อหน้าที่ ซื่อตรงต่อประเทศชาติ และซื่อตรงต่อประชาชนมาโดยตลอด
      
       มัททวะ คือความอ่อนโยน ทรงมีพระราชอัธยาศัยสุภาพอ่อนโยน ทั้งทางพระวรกาย ทางพระวาจา และทางพระราชหฤทัย ภาพประทับใจเหล่านี้ปรากฏอยู่ตลอดมาเมื่อทรงออกเยี่ยมเยียนราษฎร
      
       ตบะ คือความเพียร ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเพื่อให้บรรลุความสำเร็จในการช่วยราษฎรพ้นทุกข์ ความเพียรต่อการทุ่มเทพระราชหฤทัยในด้านนี้ ทำให้ทรงคิดค้นสิ่งประดิษฐ์และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริออกมามากมาย
      
       อักโกธะ คือความไม่โกรธ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงแสดงความโกรธให้ปรากฏ ทรงมีแต่พระเมตตา ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้มีเหตุก็ทรงเตือนด้วยเหตุผลและพระราชกุศโลบายที่แยบคาย
      
       อวิสิงหา คือความไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นเครื่องแสดงออก ซึ่งมีอยู่อย่างเปี่ยมล้นในพระราชอัธยาศัย จะเห็นได้จากทรงส่งเสริมคุณธรรมที่ให้สามัคคีรักใคร่ปรองดองกันเพื่อความผาสุกของสังคม
       ขันติ คือความอดทน การบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ ย่อมมีปัญหานานัปการ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระขันติธรรมอย่างสูงยิ่ง จึงทรงเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายนั้นได้ สร้างความผาสุกให้ราษฎรได้ทั่วแผ่นดิน
      
       อวิโรธนะ คือการวางตนหนักแน่นในธรรม ไม่มีความเอนเอียงหรือหวั่นไหว ทรงสถิตมั่นในธรรมคือแบบแผนและหลักการ โดยไม่มีข้อบกพร่องให้เสื่อมเสียพระเกียรติ นับเป็นบุญมหาศาลของประชาชนชาวไทย ที่เกิดมาอยู่ใต้ร่มพระบารมีของกษัตราธิราชเจ้าผู้ทรงไม่ประพฤติผิดในธรรม
      
       ส่วน “เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั้น พสกนิกรทั้งหลายต่างได้ประจักษ์แจ้งถึงพระราชปณิธานที่ทรงมุ่งมั่นในการสร้างความสุข บรรเทาความทุกข์ให้คนทั้งแผ่นดินอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย แม้แต่ชาวต่างประเทศเทศยังยอมรับว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในบรรดากษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ในโลก เป็นกษัตริย์ที่พสกนิกรได้เห็นพระเสโทหยดย้อย ทั้งๆที่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์จะต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขพสกนิกรด้วยพระองค์เอง ไม่มีอะไรบังคับให้พระองค์ต้องเหนื่อย แต่พระองค์ก็ทรงเหนื่อยด้วยความรักและความห่วงใยในอาณาประชาราษฎร์
      
       ตลอดเวลา ๗๐ ปีครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วพระราชอาณาจักร ไม่มีจังหวัดใดในประเทศไทยที่พระองค์ไม่ได้เสด็จฯไป ทรงรับทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรแต่ละภูมิภาคด้วยพระองค์เอง และเมื่อที่ไหนมีปัญหา ไม่ว่าในเมืองหลวงหรือชนบทไกล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จะเสด็จฯไปที่นั่นเพื่อแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที จนเป็นที่กล่าวกันว่า
      
       “ในประเทศนี้ อะไรๆก็ต้องในหลวง”


  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:08:38 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #14 เมื่อ: 21 เมษายน 2014, 14:20:36 »


















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:11:07 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
apichoke
Administrator
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 205010
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 22,823


เรา ♥ ในหลวง


« ตอบ #15 เมื่อ: 21 เมษายน 2014, 21:29:35 »

3 นาที เห็นแล้วแชร์ต่อไป ภาระกิจในหลวง

https://www.facebook.com/photo.php?v=510966785664060&set=vb.497498593677546&type=2&theater

บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #16 เมื่อ: 25 เมษายน 2014, 08:40:17 »

  k'g*












ถ้าใครเดินทางผ่านทางด่วน
คงผ่านตาป้ายโฆษณา 33 เสา
รวม 66 ภาพ แต่คงอ่านกันไม่ทัน
วันนี้ขอรวบรวมมาไว้เป็นความทรงจำ
เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระองค์ท่าน

ขอขอบคุณคณะผู้จัดทำทุกท่านมา ณ ที่นี้

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:14:26 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #17 เมื่อ: 25 เมษายน 2014, 08:55:46 »

















๙ คำพ่อสอน

การเรียนรู้จากคำสอนที่พ่อหลวงเราสอนไว้มีมากมาย
 เปรียบดั่งตำราแสงทองในการนำพาชีวิตของลูก ๆ อย่างพวกเรา
อยู่ที่เราจะปรับใช้ให้เข้ากับเรื่องที่กำลังทำ กำลังเป็น อย่างไร
ในที่นี้จะขอยก "คำสอนของพ่อหลวง มา ๙ คำสอน" ดังนี้.-

๑. ความเพียร

การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา
ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ
 ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล
ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน
 เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา
 ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖




๒. ความพอดี

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ
 ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง
 หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว
จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น
ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน
 มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๐




๓. ความรู้ตน

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว
 จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว
จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ
ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน

พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี ๒๕๒๑



๔. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป
 และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น
 ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ
 ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้
ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น
 วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๑




๕. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน
 รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๖




๖. พูดจริง ทำจริง

ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ
 พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย
 การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญ
ในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด
และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐




๗. หนังสือเป็นออมสิน

หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา
ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ
 เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน
 เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ
 ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๔




๘. ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ
 จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์
 และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก
 ปี พุทธศักราช ๒๕๓๑




๙. การเอาชนะใจตน

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ
ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม
 เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ
 เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี
 เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ
ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป
 และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ

พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน
 ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ
ครั้งที่ ๑๒ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๓


ปลานวลจันทร์ทะเล
หรือชื่อเรียกอื่น ได้แก่ ปลาดอกไม้ ปลาทูน้ำ
จืด ปลาชะลิน มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า มิลค์ฟิช (Milkfish)
และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ชาโนส ชาโนส (Chanos Chanos)
อาศัยอยู่ทั่วไปในท้องทะเลเขตร้อน และมหาสมุทรแปซิฟิก ในประเทศไทยพบมากบริเวณทะเลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร เพชรบุรี และบางส่วนของจังหวัดตราด ทั้งนี้ ปลานวลจันทร์ทะเลจัดว่าเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และไต้หวัน เนื่องจากมีรสชาติดี เจริญเติบโตเร็ว ทนทานต่อโรค สามารถอาศัยอยู่ได้ในน้ำที่มีความเค็มต่ำ และเลี้ยงง่ายเพราะกินอาหารได้หลากหลาย ทั้งตะไคร่น้ำแพลงตอน ไรน้ำ รำข้าว ขี้แดด รวมถึงอาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่กินพืชได้ทำให้การเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเลี้ยงปลาชนิดอื่นๆ ที่กินเนื้อ เหมาะสมต่อการส่งเสริมให้เพาะเลี้ยงสร้างรายได้

ประเทศไทยสำรวจพบปลานวลจันทร์ทะเลเป็นครั้งแรก บริเวณชายฝั่งทะเลบ้านคลองวาฬจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ และได้มีการเพาะเลี้ยงขึ้น เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการเลี้ยงปลาดังกล่าว ณ สถานีประมงคลองวาฬ ซึ่งปัจจุบันคือศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ทรงพบว่า ราษฎรในพื้นที่ได้นำลูกปลานวลจันทร์ทะเลที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อมาเลี้ยงในบ่อ ซึ่งสภาพน้ำแม้จะมีระดับความเค็มต่ำ แต่ปลานวลจันทร์ทะเลก็เจริญเติบโตได้ และสามารถขายได้ราคาดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริที่จะส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นอาชีพ โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
ซื้อปลานวลจันทร์ทะเลจำนวนหนึ่ง ปล่อยลงสู่อ่างเก็บน้ำของโครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ขณะนั้นราษฎรยังมิได้ให้ความสนใจเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลมากนัก เนื่องจากปลาชนิดนี้จะขยายพันธุ์เฉพาะแต่ในทะเลเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี กรมประมงได้ทดลองเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลมาอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ ในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสถึงเหตุการณ์เมื่อปี ๒๕๐๘ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แสดงถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะส่งเสริมให้ราษฎรเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลเพื่อเป็นอาชีพ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำพระราชดำริดังกล่าวไปดำเนินการสานต่ออย่างจริงจัง

ราวปี ๒๕๔๘ กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ จึงประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลานวลจันทร์ทะเล ทั้งในด้านการปรับปรุงพันธุ์ การเร่งให้วางไข่นอกฤดูกาล การผสมเทียม และการเพิ่มอัตราการอยู่รอดของลูกปลา พร้อมกับส่งเสริมให้ราษฎรนำปลาที่เพาะพันธุ์ได้ดังกล่าวไปเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพตามพระราชดำริ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยจะนิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้ในกระชัง บ่อพักน้ำ นากุ้งร้าง หรืออาจเลี้ยงร่วมในบ่อเดียวกับกุ้งขาว ทั้งนี้ การเลี้ยงรอบหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ ๘ เดือน จึงจะได้ปลาที่มีน้ำหนักตามที่ตลาดต้องการ คือตัวหนึ่งราว ๖๐๐ – ๘๐๐กรัม ใช้ต้นทุนการเลี้ยง ๒๕ - ๓๐ บาทต่อน้ำหนักปลา ๑ กิโลกรัม และสามารถจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ ๖๕ - ๗๐ บาท

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างหนึ่งของการส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเล คือ ปลาชนิดนี้มีก้างมาก ระยะแรกจึงไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาด ส่งผลให้ราคาไม่ดึงดูดความสนใจแก่ผู้เพาะเลี้ยง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงแก้ไขปัญหาโดยหาแนวทางแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลให้สามารถบริโภคได้ง่ายขึ้น วิธีการหนึ่ง คือ เรียนรู้เทคนิคการถอดก้างปลามาจากสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งปลานวลจันทร์ทะเลสดเมื่อถอดก้างแล้ว จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้หลากหลายเช่น ปลานวลจันทร์ทะเลหมักสูตรฟิลิปปินส์ ปลานวลจันทร์ทะเลแดดเดียว รมควัน และต้มเค็ม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ราษฎรรวมกลุ่มกันเพาะเลี้ยงและแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลอย่างครบวงจรในลักษณะวิสาหกิจชุมชน ดังที่ปรากฏเป็นกลุ่มแปรรูปปลานวลจันทร์ทะเลบ้านคลองวาฬ ตามแนวพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

คลิกอ่านรายละเอียดที่สมบูรณ์ https://www.facebook.com/infodivohm?fref=photo

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 พฤศจิกายน 2016, 14:12:02 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #18 เมื่อ: 25 เมษายน 2014, 09:05:36 »


















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ตุลาคม 2016, 09:48:37 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
ขวัญเองจ้า
Junior Public Relations
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 52701
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44,899



« ตอบ #19 เมื่อ: 25 เมษายน 2014, 18:27:42 »




 

บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #20 เมื่อ: 26 เมษายน 2014, 12:59:10 »





















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2016, 15:34:37 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #21 เมื่อ: 26 เมษายน 2014, 13:28:48 »


ทรงพระเจริญ
 
"พระราชาขี่ล่อ"
พระ..ทรงเหนื่อย ตรากตรำ ทรงงานหนัก
พระ..เพียรนัก คลายทุกข์ ทั้งสยาม
พระ..ทรงสร้าง ความเจริญ ถิ่นกันดาล
พระ..สร้างความ ร่มเย็น ทั้งแผ่นดิน.
ผู้..พลิกถิ่น แห้งแล้ง ให้ชุ่มฉ่ำ
ผู้..คิดทำ พัฒนา มหาศาล
ผู้..ครองชีพ พอเพียง มาช้านาน
ผู้..บันดาล ความสุข ให้ชาวไทย.
ให้..ความรู้ คู่ความ เพียรขยัน
ให้..ทุกชั้น ทุกที่ ไม่ขัดสน
ให้..ประชา ทั้งปวง สุขสมปอง
ให้..ไทยครอง เอกราช อย่างยั่งยืน..

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า
เรารบ เพื่อเกียรติศักดิ์ไทย

 






  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2016, 15:37:43 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #22 เมื่อ: 26 เมษายน 2014, 13:58:20 »

คำพ่อสอนและพระบรมราโชวาทของในหลวง

 







  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ตุลาคม 2016, 12:56:17 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
ขวัญเองจ้า
Junior Public Relations
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 52701
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 44,899



« ตอบ #23 เมื่อ: 26 เมษายน 2014, 14:15:10 »


ข้าพระพุทธเจ้าน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิใด้ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #24 เมื่อ: 26 เมษายน 2014, 14:22:10 »















  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2016, 15:10:45 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
แท็ก:
หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ... 20   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค "เว็บมหาชน คนมหาโชค"
 
คติ "กินอยู่อย่างพอเพียง เสี่ยงโชคแต่พอควร"
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย
คำเตือน -ทางเว็บไม่ได้ทราบเป็นการล่วงหน้าว่าหวยทางกองสลากจะออกตัวไหน แต่เราใช้การวิเคราะห์หรือประเมินตามหลักสถิติ
หรือวิธีการอื่นว่า เลขที่มีโอกาสออกมากที่สุดในแต่ละงวดควรจะเป็นเลขอะไรเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ การเล่นหวยถือว่ามีความเสียงมาก
Sitemap | Contact | WAP | xHTML | iMode | WAP 2 | RSS

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines | Sitemap
อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน ©
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.711 วินาที กับ 23 คำสั่ง
Copyright (c) 2008-2022 apichokeonline.com