อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน
17 เมษายน 2024, 06:11:19 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
"สนับสนุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น"

ผลงานห้อง VIP (งวด 16 เม.ย.67)
อ.apichoke ถูกสามตัวสลับ 589 ถูกตัวกลับเลขท้าย รว.ที่๑ 89 ถูกเลขท้าย๒ตัว 79
ถูกปักหลักสิบเต็มๆ 9 เลขเด่นวันหวยออก ถูกเด่น 5

ออก 598-79
   หน้าแรก   หวยรัฐบาล SUPER VIP หนังสือหวย VIP สมัคร vip ช่วยเหลือ แท็ก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก Register  
ฝากภาพ i-pic
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อาถรรพ์ป่าคำชะโนด ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี  (อ่าน 21831 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:12:25 »

อาถรรพ์ป่าคำชะโนด ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี
อาถรรพ์ป่าคำชะโนด
ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี

เรื่อง : สุทิน  ทองสีเหลือง


           ชื่อของป่าคำชะโนดเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศพร้อม ๆ กับข่าวอื้อฉาวเรื่อง  “เปรต” แม้อาจารย์กู้ หรือนายกิตติ  ปภัสโรบล  จอมลวงโลก  เจ้าตำหรับสร้างเปรตตุ๋นคน  สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชถูกจับยัดเข้าห้องขังไปโรงเรียนเปรตเรียบร้อยแล้ว  แต่ชื่อของ  “ป่าคำชะโนด” ยังอยู่ในความสนใจของผู้คน  ว่ามีลักษณะความเป็นมาอย่างไร เพราะป่าแห่งนี้คือสถานที่ที่อาจารย์กู้เลือกเป็นโลเกชั่นในการสร้างสถานการณ์เปรตโดยหลอกลวงผู้คนให้เข้าไปดู                                                                   

จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด  30  พฤษภาคม  2543  หน้า 1
 

 

           เกาะคำชะโนดดินแดนที่หลายคนเชื่อว่าทุกตารางนิ้วมีความศักดิ์สิทธิ์  ชาวบ้านหลายชั่วอายุคนเชื่อกันว่าใต้คำชะโนดเป็นเมืองบาดาลมีพญานาค  ชื่อ พญาศรีสุทโธนาค ปกครองอยู่  มีทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด  ซึ่งเรียกกันว่าบ่อน้ำ


           คำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ  และมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคโดยตรง  มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย  เป็นเรื่องโด่งดังมาแล้วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นเปรตกู้และผีจ้างหนัง


           มีบุคคลนิรนามไปติดต่อบริษัทหนังเร่แห่งหนึ่ง ซึ่งรับฉายหนังเร่ในตัวเมืองอุดร ให้เอาหนังกลางแปลงไปฉายที่บ้านวังทองในอัตราค่าจ้างสี่พันบาท  โดยมีสัญญาข้อหนึ่งว่าให้ฉายหนังถึงตี  4 เท่านั้น  พอถึงตี 4 ให้รีบเก็บข้าวของออกไปจากสถานที่ฉาย  อย่าอยู่จนถึงสว่าง เป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างจะแปลกอยู่สักหน่อย  แต่ผู้จัดการบริษัทหนังเร่ก็ไม่ติดใจอะไร กลับจากฉายหนังพวกคนงาน เดินทางกลับมาเล่าเรื่องประหลาดให้เจ้าของฟังว่า ได้ไปฉายหนังให้ผีดู

จาก:หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2534

บันทึกการเข้า

## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #1 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:13:04 »


ผีจ้างหนัง :  มหรสพโลกวิญญาณ

           สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่รู้จักไปทั่วประเทศจากเรื่องเล่าผีจ้างหนังโดยมีบุคคลนิรนามไปว่าจ้างหน่วยฉายหนังเร่แจ่มจันทร์ภาพยนตร์ในตัวเมืองอุดรธานีไปฉายหนังในเกาะคำชะโนด   และพบว่าละแวกที่ฉายหนังนั้นไม่มีหมู่บ้านใด ๆ โดยคนในหมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นก็ยืนยันว่า ไม่ได้เดินทางมาดูหนังคืนนั้น  แต่คนฉายหนังก็ยืนยันว่า ตอนดึก ๆ  มีคนมานั่งดูหนังที่ฉายเต็มไปหมด


           คุณธงชัย  แสงชัย  เจ้าของหนังเร่บริษัทแจ่มจันทร์ภาพยนตร์กล่าวในบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท  บุรีเพีย  อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง


           “เรื่องเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2532  มีคนมาว่าจ้างให้หนังของผมไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง  ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 4,000 บาท  มีหนังฉาย 4 เรื่อง  แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ 1ข้อ คือ ให้ฉายถึงแค่ตี 4 เท่านั้น  ห้ามฉายถึงสว่าง  พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย   ซึ่งผมได้ฟังก็แปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น  เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง   จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผล  แต่ปรกติแล้วเวลาไปฉายหนังที่อื่น ชาวบ้านมักจะให้ฉายถึงสว่างทุกเจ้าไป 


           หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งหน่วยฉายหนังไปตามที่ได้ตกลงกันไว้   ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คน ซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืน  ก็เล่าให้ผมกับภรรยาฟังว่า เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู


           เด็ก ๆ เล่าให้ฟังว่า หนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3 ทุ่ม  ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน  ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด  แต่พอ 3 ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก  และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง  ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง  และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว  และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่ว ๆ ไป  ฉายหนังบู๊ก็เฉย  ฉายหนังตลกก็เฉย ไม่มีเสียงหัวเราะ


           อีกอย่างคือ งานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของ จำพวกของกินเลย  โดยทั่วไปงานอื่น ๆ จะมีร้านขายขนม ขายบุหรี่   พอถึงตี 4 พวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด  หายไปเร็วเหลือเกิน    พวกเด็ก ๆ เขาก็รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉายหนัง   พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ก่อนเลย  เนื่องจากเมื่อคืนไม่มีขาย  ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา   เด็ก ๆ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง   แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย 


           เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนมา  ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ชาวบ้านสรุปว่า “สงสัยพวกคุณจะไปฉายหนังที่ใน “ดงคำชะโนด”  ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค  มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เอง


           พวกเด็ก ๆ ก็เลยเชื่อว่าถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากจะพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง  ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสัก 3  กิโลเมตร  แต่ที่ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นอยู่กลางทุ่งนาห่างจากตัวถนนครึ่งกิโลเมตรนั้นเป็นดงไม้ทึบ   อย่าว่าแต่ให้ขับรถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย  แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังไม่ได้ด้วย


           ผมจึงไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่า  เมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทอง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังกันบ้างไหม   ทุกคนต่างก็ยืนยันว่า ไม่มีหนังเข้ามาฉายเลย   ทำให้ผมงุนงงเป็นอันมาก  ทำให้ผมต้องเดินทางกลับไปที่ดงคำชะโนดอีกครั้ง เพื่อหาข้อพิสูจน์ ว่าเด็ก ๆ ได้มาฉายหนังที่นี่จริง  ในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า  เด็ก ๆ ของผมได้เข้าไปฉายหนังในดงคำชะโนดจริง  นั่นก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นผ่านลงไปในหล่มดินข้างทาง  รอยรถนั้น  แล่นผ่าเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง   ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้ 


           ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณธงชัยได้ไปนมัสการ  หลวงปู่คำตา  สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธ  คำชะโนด  ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ดงคำชะโนด  และได้ไต่ถามถึงเรื่องนี้กับเจ้าอาวาส  ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า

           “คงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้  จึงได้ว่าจ้างให้หนังมาฉายฉลองเหมือนพวกมนุษย์   วิญญาณเหล่านั้นชาวอีสานเรียกว่า “ ผีบังบด” ในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด  แต่ในป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ ๆ  เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามาทั้ง ๆ  ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย”

           “ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้อยู่  ก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิท ท่าทางน่ากลัวเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าของท่าน   ผมและภรรยาตกใจมาก   แต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก  คงจะเป็นวิญญาณของผู้ที่อาศัยอยู่ในดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อไป  จึงได้ส่งให้งูตัวนี้มาปรากฏเพื่อเป็นการเตือน   หลังจากนั้นท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ  แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีอะไรที่แปลกน่าสนใจอีกมาก เกี่ยวกับดงคำชะโนดนี้”

บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #2 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:13:50 »



ผีเปรตคำชะโนด

           เปรตกู้แถลงซัดทอดนักทอล์กโชว์ต้นตอวิดีโอแหกตา อ้าง “อ.พงศ์ศักดิ์” จ่าย 1.8 หมื่นถ่ายทำ นักพูดดังท้าพิสูจน์ ชาวคำชะโนดโวยทำไมเพิ่งสารภาพ


           สำนึกบาป- นายกิตติ หรืออาจารย์กู้ ปภัสโรบล ต้นตำรับ “เปรตคำชะโนด” ปรากฏตัวที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เมื่อ 16 กันยายน เปิดแถลงเบื้องหลังเหตุการณ์ลวงโลก โดยซัดทอดนักทอล์กโชว์ชื่อดัง หาว่าเป็นคนจ้างให้ถ่ายวิดีโอแหกตา

จาก : หนังสือพิมพ์ข่าวสด  17  กันยายน  พ.ศ.2545 หน้า 1
 

           ปี พ.ศ. 2543  “คำชะโนด” กลายเป็นข่าวดังพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ด้วยเรื่องผีเปรต เมื่อ ผอ.นาย แพทย์นักทอล์คโชว์ชื่อดังท่านหนึ่ง ซึ่งสนใจในเรื่องจิตวิญญาณ ได้เล่า ถึงเรื่องผีเปรต เทพารักษ์ และการบิณฑบาตรจากรุกขเทวาที่ “คำ ชะโนด” โดยมีการถ่ายทำวิดีโอไว้ด้วย  จากวีดีโอดังกล่าวพระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว ก็ยังนำมาเทศน์เสริมถึงเรื่องนี้ แม้ท่านจะพูดทำนองแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ยืนยัน แต่ถึงไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่  และมีประกาศว่าจะมีการนำ เทปวิดีโอเรื่องผีเปรตดังกล่าวมาออกอากาศแพร่ภาพในวันวิสาขบูชา  ยิ่งทำให้ประชาชนสนใจกันมาก  แต่ก่อนจะถึงวันวิสาขบูชาเพียงไม่กี่วัน ไอทีวี ทีวีเสรี  (ไทยพีบีเอสปัจจุบัน)  ก็คว้าเทปผีเปรตมาออกอากาศได้ก่อน สร้างความฮือฮาแก่ผู้ชมเป็นกระแสฮิตที่กล่าวถึงในสังคมอย่างมาก                      
 

         จากวิดีโอ ภาพที่เห็นร่างสูงโย่งแขนขายาวยืนขนานต้นชะโนดมีเสียงร้องด้วยภาษาแปลก ๆ ซึ่งเขาบอกว่าเป็น เทพารักษ์หรือรุกขเทวดา ซึ่งมีการบรรยายว่าเป็นเปรต  จนได้มีการพยายามพิสูจน์ ว่าเป็นเรื่องแหกตาหรือเปล่า โดยการเชิญผู้เชี่ยวชาญในการถ่ายภาพมาดูและใช้กล้องทันสมัยที่สุด จำลองภาพขยายภาพในที่สุดก็ลงความเห็นว่า น่าจะเป็นการจัดฉากหลอกลวงประชาชน
 

         อีกทั้งเมื่อสืบสาวประวัติ ตัวตั้งตั้วตีคนหนึ่งคือพระไม่โกนคิ้วซึ่งรู้จักกันในนาม "พระกู้" หรือนายกิตติ  ประภัสโรบล  ตั้งตนเป็นนักจิตวิญญาณ  แต่เปลี่ยนชื่อตัวเองตั้ง 3 ครั้งราวกับต้องการปกปิดอะไรสักอย่างจนไม่น่าเชื่อถือ

           แล้วเรื่องนี้ก็ทำท่าจะเป็นเรื่องตุ๋นระดับประเทศ   เช่นเดียวกับเรื่องช้างน้ำตัวเท่าฝ่ามือ และลูกมัคคลีผลซึ่งฮือฮากันเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

           ข่าวรายงานว่าวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2544  ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติ ประภัสโรบล หรืออาจารย์กู้ หรือเปรตกู้ ในความผิดฐาน  กระทำการด้วยประการใด ๆ  แก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา

           โดยช่วงปี พ.ศ.2539 นายกิตติแต่งกายเป็นพระภิกษุสงฆ์ ยืนทำท่าเลียนแบบพระพุทธรูปปางห้ามญาติ และหลวงปู่แหวนสุจินโณ โดยใช้เท้าเหยียบที่ฐานพระพุทธรูปขณะทำท่าล้อเลียน

           สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25  กันยายน พ.ศ. 2544  เห็นว่ากระทำผิดจริงตามฟ้อง ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน และมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตร ศาลให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

           ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม  พ.ศ.2546 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าเป็นเพียงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น  แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายปรากฏว่านายกิตติไม่เดินทางมาศาลตามนัด ศาลเห็นว่าเมื่อจำเลยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว แต่มีเจตนาไม่มาฟังคำพิพากษา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร มีคำสั่งให้ออกหมายจับนายกิตติ มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งในวันที่ 10  กันยายน

           ต่อมาเวลา 12.30 น. นายกิตติได้เดินทางมารายงานตัวต่อศาลที่ห้องพิจารณาคดี 912 อ้างว่าไม่ได้รับหมายนัดของศาล แต่เมื่อช่วงเช้าได้รับทราบข่าวทางวิทยุว่าถูกศาลออกหมายจับ จึงรีบมาศาลทันที ศาลเห็นว่า เมื่อจำเลยมายืนยันต่อหน้าศาลไม่มีเจตนาหลบหนี ให้ยกเลิกหมายจับ จากนั้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกามีใจความว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุ ใช้เท้าข้างหนึ่งยืนอยู่บนฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติ โดยเท้าของจำเลยอยู่บนส่วนหนึ่งของพระพุทธรูป ยกมือขวาขึ้นเลียนแบบพระพุทธรูป ส่วนใบหน้าแสดงท่าทางล้อเลียนถลึงตาอ้าปาก นอกจากจะไม่เป็นการเคารพพระพุทธรูป ยังแสดงตนเสมอพระพุทธรูป เป็นการกระทำอันไม่สมควร เป็นการดูหมิ่นพุทธศาสนา

           ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนาดูหมิ่น เนื่องจากไปรักษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง โดยทำพิธีเพ่งรวมอำนาจจิต ทำให้ลอยไปยืนบนฐานพระพุทธรูป หรือเหตุที่ต้องถลึงตาอ้าปาก มาจากการกลั้นลมหายใจ เพื่อรวบรวมพลังจิต เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล จึงมีความผิดตามคำฟ้อง  
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กรกฎาคม 2014, 13:15:59 โดย "แห้ว" » บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #3 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:16:52 »



เบื้องหลังเปรตลวงโลก

           “ผมรู้สึกน้อยใจ แต่ผมก็ถือว่ายังมีมือมีตีนอยู่จะไปร้องขอคนอื่นก็น่าเกลียด ทุกวันนี้ผมคิดจะทำป้ายไปติดประกาศหน้าบ้านว่า “ชีวิตผมก็มีอยู่แค่นี้ อย่าได้มาประนามผมว่า  เป็นคนลวงโลกอีกเลย” ถึงผมจะยังคงเชื่อถือในเรื่องภูตผี และปาฏิหาริย์อยู่ แต่ก็คงจะไม่ออกไปพิสูจน์หรือแสดงอะไรอีกแล้ว ช่วงแรก ๆ ทั้งทุกข์ ทั้งท้อ คิดผูกคอตาย แต่ลูกของเราหล่ะใครจะดูแลเขา เมียก็มาทิ้งไป ตอนนี้คิดไว้อย่างเดียวว่าใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้อย่างนั้น”

จาก : รายการคนค้นคน   ตอน  เปรตอาจารย์กู้  คนลวงโลก(หรือโลกลวงคน)  พฤศจิกายน พ.ศ.2546
 

           เปรตกู้ซึ่งเพิ่งออกจากคุกมาไม่นาน พร้อมด้วยลูกชาย 4 คนพากันปั่นจักรยานไปที่อุดรธานี  อ้างว่าต้องการไถ่บาปที่ก่อไว้  โดยเข้าพบเจ้าอาวาสวัดสิริสุทโธซึ่งเป็นวัดอยู่ติดกับคำชะโนด และขอมอบจักรยานให้นักเรียนทำบุญไถ่โทษ รวมระยะทางที่ปั่นจักรยานมา 2 วัน 2 คืน ราว 400 กิโลเมตร หรือประมาณเกือบครึ่งทาง และในวันที่ 3 อาจารย์กู้ตั้งใจจะไปถึงคำชะโนดให้ได้

           กับความพยายามครั้งสำคัญในชีวิตของนายกิตติแล้ว นอกจากเพื่อให้มีชีวิตรอดแล้วยังเพื่อลบตราบาปในใจ จากการถูกลิขิตให้เป็นคนที่ล้มละลายทางความเชื่อ  อีกทั้งเป็นการทวงคืนซึ่งความเข้าใจให้แก่ลูก ๆ ที่บริสุทธิ์เหล่านี้ ที่เขาไม่ได้มีส่วนสมคบคิดในวีดีโอลวงโลก  แต่ต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อร่วมกับพ่ออย่างเจ็บปวด และบอบช้ำ 
 

           นายกิตติ ประภัสโรบล  หรือ ยือ  คือชื่อเดิม  เป็นคนราชบุรี และเกิดในบ้านที่เป็นสภาพกระท่อม ตั้งอยู่หลังป่าช้าวัดย่าน จังหวัดราชบุรี ปัจจุบันอายุ  65 ปี หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม “อาจารย์กู้” ที่มีคดีโด่งดังจากหน้าหนังสือพิมพ์ แม้คดีของเขาได้จบสิ้นลงแล้ว

           ชีวิตเมื่อหลุดพ้นออกมาจากกรงเหล็กมีความลำบาก   ภรรยาก็ทิ้งจากไป ลูกก็ล้มป่วย  เรื่องงานบ้านทุกอย่างเขาเป็นคนดูแลเองทั้งหมด รวมไปถึงการดูแลลูก ๆ  4 คน 
 

         ย้อนไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
 

         ตามรายงานข่าวจากนังสือพิมพ์ข่าวสด  17  กันยายน  พ.ศ.2545 รายงานว่านายกิตติ ปภัสโรบล  หรืออาจารย์กู้  ต้นตำรับ “เปรตคำชะโนด” ปรากฏตัวที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เมื่อ 16 กันยายน พ.ศ.2545  เปิดแถลงเบื้องหลังเหตุการณ์ลวงโลกต่อหน้าปลัดอำเภอ  ตำรวจ  ชาวบ้านดุงนับร้อยคน โดยซัดทอดนักทอล์กโชว์ชื่อดัง หาว่าเป็นคนจ้างให้ถ่ายวิดีโอแหกตา

           เปรตกู้ เปิดแถลงข่าวที่วัดศริรสุทโธ  ซึ่งเป็นวัดอยู่ติดกับเกาะคำชะโนด  มีการอ้างถึง  พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา เป็นคนจ้างวานให้ถ่ายทำวิดีโอเปรตหลอกลวงชาวบ้าน  โดยเปิดเทปวิดีโอที่ถ่ายทำเรื่องเปรตที่คำชะโนดให้ชาวบ้านดูอีกรอบ  และกล่าวกับชาวบ้านว่า
 

          “เรื่องการถ่ายทำเปรตนั้นขอยอมรับว่าทำจริง มีผู้ว่าจ้างคือ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา นักทอล์กโชว์ชื่อดัง โดยได้มาว่าจ้างให้ทำเรื่องเปรต เพื่อจะนำไปสั่งสอนลูกศิษย์และตำรวจเพื่อให้คนเชื่อว่าบาปบุญมีจริง  เปรตมีจริง โดยได้รับค่าจ้างครั้งแรก 8,000 บาท ครั้งที่สอง 10,000 บาท  ช่วงที่รับจ้างทำงานนั้นตนกำลังบวชอยู่ จึงตกลงใจเพื่อต้องการนำเงินไปส่งเสียลูก  สำหรับการถ่ายทำมีอยู่หลายตอน ตอนพบพญาควาย ตอนพญางู ตอนบิณฑบาตกับต้นไม้ และตอนพูดคุยกับเทพารักษ์ แต่การตัดต่อนั้นตนไม่ทราบ เท่าที่ทราบมีการใช้กล้องอินฟราเรด 4-5 ตัว คณะที่มาถ่ายทำมีทั้งหมดประมาณ 30 กว่าคน มีรถตู้ 2 คัน รวมทั้ง พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์  ด้วย  ตอนนี้กรรมตามทันแล้ว เมียก็หนี ลูกก็ล้มป่วย เพราะไปลบหลู่ปู่ศรีสุทโธ จำใจต้องออกมาเปิดโปงคนอยู่เบื้องหลัง จ้างให้ถ่ายทำวิดีโอตุ๋น  ขออภัยให้ผมเถอะ หลังเกิดเรื่องผมมาที่นี่บ่อย แต่คนจำผมไม่ได้ ผมไม่มีเจตนาลบหลู่ สำหรับ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์นั้น หากว่าเป็นลูกผู้ชายจริงขอให้มาพบลูกผู้ชายอย่างไอ้กู้มาได้เสมอ”

           จากข่าวที่หนังสือพิมพ์ข่าวสดได้นำเสนอไปนั้นทำให้  พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา  ได้ตกเป็นจำเลยของสังคมทันที    แต่ พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ยังไม่ขอให้สัมภาษณ์อะไร รอดูก่อนว่านายกิตติให้เปิดแถลงว่าอย่างไรบ้าง และถ้านายกิตติคิดว่าพูดความจริงก็ให้โทรศัพท์มาคุยกับตนได้เลย

           ต่อมาไม่กี่วัน พ.อ.นพ. พงศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดชื่อดัง ยื่นฟ้อง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณากรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่า พ.อ.นพ.พงศักดิ์เป็นผู้ว่าจ้างให้ถ่ายทำวีดิโอบันทึกภาพผีเปรตที่ อำเภอบ้านดุง  จังหวัดอุดรธานี เพื่อหลอกลวงผู้อื่น

           โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม  พ.ศ.2547  ที่ห้องพิจารณาคดี 915 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาคดีที่ พ.อ.นพ.พงศักดิ์   ตั้งคณา นักจัดรายการวิทยุและนักพูดชื่อดัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติ  ปภัสโรบล หรือ เปรตกู้   บริษัทข่าวสด และนายฐากูร อุทัยวงศ์ บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2545

           โดยศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 เดือน ปรับ 15,000 บาท แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ ปรับ 10,000 บาท  โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-3 พิพากษายกฟ้อง
 

         ชาวบ้านเชื่อว่านี่คือตัวอย่างเรื่องราวจากการลองดีหลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าคำชะโนดป่าอาถรรพ์ที่ทำให้นายกิตติต้องมีชีวิตเช่นนี้  และนายกิตติเองถึงกับเอ่ยคำพูดว่า
 

         “ตอนนี้กรรมตามทันแล้ว เมียก็หนี ลูกก็ล้มป่วย เพราะไปลบหลู่ปู่ศรีสุทโธ”
 

          แม้เรื่องนี้จะได้ผ่านมาหลายปีแล้ว  ชีวิตของ  นายกิตติ  ปภัสโรบล หรือ เปรตกู้ ยังต้องดิ้นรนต่อสู้กับการถูกตราหน้า  “เปรตกู้จอมลวงโลก”  ไม่ว่าเขาจะเลวจริงหรือถูกทำให้เลว  แต่ความจริงและผลจากการกระทำได้ตัดสินให้เขาได้ชดกรรมที่ตนได้ก่อไว้
 

บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #4 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:17:46 »



ตำนานวังนาคินทร์คำชะโนด

           คำชะโนดอยู่ห่างจากบ้านเกิดผมเพียง 10  กว่ากิโลเมตร  บ้านของผมอยู่ที่ตำบลบ้านจันทน์   ซึ่งเป็นตำบลที่ติดกับตำบลวังทอง  ส่วนพ่อของผมเกิดและเติบโตที่บ้านวังทอง  ผมจึงมักได้ยินเรื่องเล่าป่าคำชะโนดจากพ่อเสมอตั้งแต่เด็กจนโต  ผมเกิดและเติบโตมากับคำชะโนด  ที่นี่เปรียบจึงเสมือนบ้านของผม  พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า
 

         “เดิมทีบ่อน้ำศักดิ์สิทธ์มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเท่านั้น  น้ำในบ่อขังตลอดปี  จะมีปริมาณเท่าเดิมอยู่อย่างนั้นไม่เคยแห้ง  ส่วนมากคนจะไม่ค่อยกล้าเข้าไปในป่าแห่งนี้  เพราะมีสัตว์มีพิษสัตว์ดุร้ายเยอะ  ก็มีคนเลี้ยงควายเลี้ยงวัวเท่านั้นที่เข้าไปหาน้ำกินในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในป่าคำชะโนด  ที่เรียกบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เพราะว่าเมื่อใครเจ็บป่วยมาอธิฐานขอน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปดื่มแล้วหาย  ปู่กับย่าก็ทำเช่นนั้นเมื่อยามเจ็บไข้ป่วย  เพราะสมัยนั้นการที่จะไปหาหมอนั้น ต้องใช้เวลานานในการเดินทางและไกลหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงโรงพยาบาลในตัวอำเภอบ้านดุง  ส่วนด้านหลังป่าคำชะโนดบริเวณนั้นจะเป็นถ้ำหากอธิฐานอยากเจอจระเข้ก็จะมีจระเข้โผล่ใต้น้ำขึ้นมา”

           ยังมีเรื่องเล่าว่าชาวบ้านหนองกาไปหาปลาในแม่น้ำสงครามซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาภูพานในเขตจังหวัดนครพนม  แล้วเจอจระเข้ขนาดใหญ่  จึงกลับเข้าไปในหมู่บ้าน  จากนั้นได้เล่าให้คนในหมู่บ้านฟังและได้พากันออกไล่ล่าจระเข้  เพราะกลัวว่าจระเข้จะทำอันตรายชาวบ้านที่ไปหาปลาในแม่น้ำสงคราม  ชาวบ้านพากันออกไล่ล่าอาวุธครบมือ  ทั้งปืนผาหน้าไม้  เมื่อเจอจระเข้ตัวนั้นก็ได้ลงมือฆ่าจระเข้จนตายและช่วยกันเอาไม้มาสอดคานหามเข้าหมู่บ้าน  พากันแร่เนื้อจระเข้กิน  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อคนในหมู่บ้านที่กินเนื้อจระเข้ทยอยตายติดต่อกันหลายคนด้วยอาการแปลกประหลาด   ชาวบ้านจึงนำหมอธรรม (หมอพิธีกรรมร่างทรงทางภาคอีสาน ) มาทำพิธีเข้าร่างทรง  จึงทราบว่าจระเข้ตัวที่ชาวบ้านฆ่าและเอาเนื้อมากินนั้นแท้จริงคือเรือเจ้าปู่ศรีสุทโธ  ชาวบ้านจึงทำพิธีขอขมาเจ้าปู่ศรีสุทโธเรื่องถึงสงบสุข   

           ตำนานคำชะโนดนั้นผมสอบถามกับพ่อและคนเฒ่าคนแก่ก็ได้ยินไม่แตกต่างกันนักถึงเรื่องราวตำนานคำชะโนดนั้น  เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาช้านาน   แม้จะมีข้อมูลแย้งจากวรรณกรรมเชียงงาม  ว่าเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นมนุษย์แต่จากตำนานส่วนใหญ่ระบุว่าเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นพญานาค
 

         ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า  หนองกระแสหรือหนองแสซึ่งอยู่ทางตอนเหนือประเทศลาว  มีเมืองพญานาคาอยู่สองฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งมี  พญาศรีสุทโธ  เป็นหัวหน้าครองเมือง   อีกฝ่ายมีพญาสุวรรณนาค  เป็นหัวหน้าครองเมือง  มีบริวารฝ่ายละห้าพันเท่า ๆ กัน  ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขและเป็นเพื่อนตายกัน  มีอะไรก็จะช่วยเหลือกัน  แต่มีสัญญาข้อตกลงอยู่ว่า  ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปหาอาหารอีกฝ่ายจะไม่ออกไป  เพราะเกรงว่าจะทะเลาะกัน  เมื่อได้อาหารจะต้องมาแบ่งกันสองส่วนคนละครึ่ง

           วันหนึ่งพญาสุทโธนาคพาออกบริวารไปหาอาหารได้ช้างมาเป็นอาหาร  จึงแบ่งเนื้อช้างและขนออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน  และได้นำไปแบ่งพญาสุวรรณนาคตามสัญญาข้อตกลง  ทั้งสองฝ่ายต่างอิ่มหนำสำราญเพราะช้างมีเนื้อมาก
 

         ต่อมาวันหนึ่งพญาสุวรรณนาคได้พาบริวารออกไปหาอาหารจึงได้เม่นจึงแบ่งเนื้อเม่นและขนออกเป็นสองส่วน เอาไปให้พญาสุทโธนาคอีกส่วนหนึ่ง  เม่นมีตัวเล็กนิดเดียวแต่ขนเม่นนั้นมีขนาดใหญ่  เนื้อที่แบ่งให้พญาสุทโธนาคจึงไม่พอกิน จึงเกิดความไม่พอใจจึงตัดขาดจากความเป็นเพื่อนและได้ทำสงครามกัน  จนเวลาผ่านไปเจ็ดปีสร้างความเดือดร้อนไปทั้งสามภพ เรื่องทราบไปถึงพระอินทร์จึงตรัสเป็นโองการให้นาคทั้งสองได้หยุดรบกันถือว่าทั้งสองฝ่ายเสมอกัน  จึงให้สร้างแม่น้ำคนละสายใครสร้างถึงทะเลก่อนจะให้รางวัลปลาบึกไปอยู่ในแม่น้ำนั้น

           และเพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของพญานาคทั้งสอง  ให้เอาภูเขาดงพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย  ใครข้ามไปรุกราน  ขอให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้เป็นจุณมหาจุณ

           พญาสุทโธนาคสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำการหลบหลีกโค้งไปโค้งมา  จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขง  ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการสร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียดและใจเย็น แม่น้ำที่สร้างขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย คือ แม่น้ำน่าน  ซึ่งไหลรวมกับแม่น้ำปิงกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาของในประเทศไทย

           ในการสร้างแม่น้ำแข่งกันในครั้งนั้น ปรากฏว่าแม่น้ำโขงของพญาสุทโธนาคสร้างเสร็จก่อนจึงเป็นผู้ชนะและได้ปลาบึกเป็นรางวัล  ซึ่งแม่น้ำโขงคือแม่น้ำแห่งเดียวในโลกที่มีปลาบึกอาศัยอยู่
 

         หลังจากนั้นสุทโธนาคได้แผลงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์  เหาะไปเฝ้าพระอินทร์  ณ  ดาวดึงส์  แจ้งว่าตัวเองเป็นชาติเชื้อพญานาค  ถ้าจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้  จึงขอทางขึ้นลงระหว่างบาดาลกับโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่งพระอินทร์จึงทรงอนุญาตให้มีรู พญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ  1. ที่พระธาตุหลวงนครเวียงจันทน์   2. ที่หนองคันแท  ทั้ง 2 แห่งให้เป็นทางขึ้นลงของพญานาคเท่านั้น  ส่วนแห่งที่3.พรหมประกายโลก หรือคำชะโนด คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น  จึงมีเกาะคำชะโนดจนถึงปัจจุบันนี้

บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #5 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:20:16 »

หลวงปู่คำตา : ไปประกวดชายงามที่เมืองบาดาล

           จากบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท  บุรีเพีย  อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง  เล่าไว้ว่า  หลวงปู่คำตา  ศิริสุทโธ  ชื่อเดิม   นายคำตา  ทองสีเหลือง   ท่านเกี่ยวข้องกับพญานาค  โดยชาวบ้านเชื่อว่าท่านเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าปู่ศรีสุทโธหรือพญาศรีสุทโธนาค  พญานาคผู้ครองเมืองคำชะโนด   ท่านเป็นชาวบ้านวังทอง  ตำบลวังทอง  อำเภอบ้านดุง  จังหวัดอุดรธานี  มีหลายเรื่องเล่าแปลกประหลาดเกี่ยวกับตัวท่าน
           วันหนึ่งท่านกับเพื่อน ๆ ไปซักผ้าที่กลางดงคำชะโนด  ขณะที่ตักน้ำอยู่นั้นก็มองเห็นปลาไหลตัวใหญ่  มีตาแดงกร่ำโผล่ขึ้นมาให้เห็น  ท่านจึงเรียกให้เพื่อน ๆ มาดู  แต่ปลาไหลตัวนั้นมุดลงในบ่อน้ำไปอย่างรวดเร็ว  ทำให้เกิดคลื่นน้ำสะเทือนอย่างน่ากลัว
           เมื่อถึงฤดูฝนชาวบ้านพากันออกไปยกยอปลาในลำห้วยใกล้ ๆ บ้าน  ขณะที่ยกยออยู่นั้นก็เกิดสิ่งประหลาดกับนายคำตา  รู้สึกคล้ายมีปลาตัวใหญ่เข้ามาอยู่ในยอ จึงรีบยกยอขึ้น  แต่เมื่อยกยอเหนือพ้นน้ำสิ่งที่อยู่ในยอนั้น  แทนที่จะเป็นปลาตัวใหญ่กลับกลายเป็นเต้าปูนที่เขาใช้บดปูนกินกับหมาก  เมื่อจะยื่นมือลงจะจับดู  เต้าปูนนั้นก็ดิ้นเหมือนปลาและกระโดดลงน้ำหายไป
           เมื่ออายุครบ 20 ปี  นายคำตาก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดบ้านวังทอง  เรื่องผิดปกติก็ได้เงียบหายไป  บวชอยู่ 3 พรรษาก็สึกออกมา
           ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ทิดคำตาหรืออาจารย์คำตา  ออกไปเกี่ยวข้าวในนาที่บ่อผักไหม  ซึ่งห่างจากคำชะโนดประมาณ 200  เมตร  เมื่อหยุดพักจากการเก็บเกี่ยวข้าวก็เดินไปที่กระท่อมที่ปลูกไว้สำหรับพักและเฝ้านา  พอเดินไปใกล้กระท่อมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่บนกระท่อมโดยหันหลังให้  เมื่อเธอผู้นั้นหันหน้ามาก็เห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าไม่เคยเห็นมาก่อนอายุราว 25 ปี  จึงเอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นว่า
           “นางมาจากไหน  จะมาหาใคร” 
           หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า“มาหาอาจารย์คำตา  เพราะว่าเห็นพวกผู้หญิงเขาลือกันว่าเป็นผู้ชายงามรูปหล่อ ”
           “บ้านนางอยู่ที่ไหนล่ะ”
           “อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่ว ๆ ไป”
           พอได้ฟังดังนั้นความกลัวก็เกิดขึ้นจึงตอบกลับไปว่า
           “ข้ารู้จักอาจารย์คำตาและสนิทสนมกันดี  บ้านอยู่ใกล้กันด้วย  จะไปบอกเขาให้นะ”
           กล่าวจบแล้วอาจารย์คำตาก็รีบเดินหนีไป  กลับเข้าไปในนาแล้วเล่าให้พี่เขยและญาติฟัง  จึงพารีบมาดูที่กระท่อม  แต่ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นได้หายไปแล้ว  ญาติพี่น้องจึงเป็นห่วงอาจารย์คำตาเนื่องจากมีเหตุการณ์แปลก ๆ  กลัวจะเกิดอันตรายจากสิ่งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงหาวิธีป้องกัน
           ขั้นแรกญาติพี่น้องให้เปลี่ยนชื่อ  โดยเปลี่ยนจาก  “คำตา” เป็น  “สุภาพ” ให้ทุกคนเรียกชื่อใหม่อย่าเรียกชื่อเก่า
           ขั้นที่ 2  จัดพิธีแต่งงานหลอก ๆ กับญาติผู้หญิงชื่อนางสาวทองคำ  สองพาลี
           ขั้นที่ 3  แต่งงานแล้วก็ย้ายหนีออกจากบ้านวังทองไปอยู่วัดบ้านหนองกา โดยไปขออาศัยอยู่กับท่านครูคำหรือพระครูสุภารโสภณ  เป็นเวลา 7 วัน  แล้วจึงย้ายกลับไปอยู่บ้านวังทองตามเดิม
           ต่อมาอีก 2  เดือนญาติพี่น้องก็ได้ไปสู่ขอสาวบ้านเดียวกันจัดพิธีแต่งงานจริง ๆ อีกครั้งหนึ่ง  ชีวิตการครองเรือนดำเนินไปอย่างมีความสุข  จนกระทั่งภรรยาตั้งท้องและคลอดลูกชายคนแรก
           ประมาณเดือน 12 น้ำเริ่มลดลงฝั่ง  ในคืนหนึ่งอาจารย์คำตานอนหลับแล้วฝันไปว่า  เจ้าปู่ศรีสุทโธได้มาหาที่บ้านเพื่อขอร้องให้ตนไปประกวดชายงามที่เมืองบาดาล  แต่ตนไม่ได้ตอบตกลง
           คืนต่อมาก็ฝันอย่างเดียวกันอีก  เจ้าปู่ศรีสุทโธได้ถามถึงเหตุผลที่ไม่ยอมไปประกวดชายงาม  มีเหตุขัดข้องประการใดขอให้บอก  อาจารย์คำตาจึงตอบตรง ๆ ไปว่า  มีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือ  “กลัว” กลัวจะพลัดพรากตายจากครอบครัว
           เมื่อทราบปัญหาอย่างนั้น  เจ้าปู่ศรีสุทโธก็ตอบตกลงปกป้องคุ้มครองและรับประกันว่าจะให้กลับมาอยู่กับลูกเมียแน่นอน  เมื่อเจ้าปู่ศรีสุทโธขอร้องหนัก ๆ และรับประกันอย่างแข็งขัน  อาจารย์คำตาจึงตอบตกลงไปประกวดชายงามตามคำขอ  โดยขอร้องเจ้าปู่ศรีสุทโธว่า  เมื่อประกวดเสร็จแล้วจะต้องรีบนำตัวกลับมาส่งบ้านโดยเร็ว  เจ้าปู่ศรีสุทโธก็รับที่จะปฏิบัติตามคำขอทุกอย่างและนัดวันเวลาที่จะมารับเรียบร้อย
           เมื่อเล่าความฝันให้ภรรยาและญาติฟัง  ทุกคนทั้งชาวบ้านที่ได้รู้เรื่องต่างก็เกิดความวิตกกังวลกลัวว่าอาจารย์คำตาจะตายจากไปอยู่กับเจ้าปู่ศรีสุทโธในเมืองบาดาล  จึงช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด
           พอถึงวันกำหนดนัดหมายเจ้าปู่ศรีสุทโธจะมารับตัวไปประกวดชายงาม  ผู้ใหญ่บ้านได้ประกาศห้ามบรรดาลูกบ้านทุกคนออกนอกเขตหมู่บ้าน  จนถึงเวลานัดหมาย  เหมือนมีสิ่งดลใจให้ชาวบ้าน  เกิดความสบายใจพากันกลับบ้านของตนเหลืออยู่บ้านอาจารย์คำตาเพียงไม่กี่คน
           ทันใดนั้นเอง  อาจารย์คำตาซึ่งนอนพักอยู่บนเรือนได้ลุกขึ้นเด่นพรวดพราดลงบันได  ตรงไปทุ่งนาใกล้ลำห้วยทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน  ญาติพี่น้องและชาวบ้านที่เหลืออยู่เห็นเช่นนั้นก็รีบเด่นตามไปอย่างกระชั้นชิด  แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  ร่างกายของอาจารย์คำตาหายวับไปกับตา  ทั้ง ๆ ที่เป็นทุ่งนาโล่งแจ้งไม่มีต้นไม้พอที่จะบังร่างของคนหนึ่งคนได้เลย   ทุกคนตกใจค้นหาหลายชั่วโมงแต่ก็ยังไมพบ  จึงปรึกษากันไปตามหมอดูและหมอธรรม (ร่างทรงภาคอีสาน) เมื่อดูแล้วก็บอกให้ทราบว่า   เจ้าปู่ศรีสุทโธมารับไปประกวดชายงามแล้วและปลอดภัยดีไม่เป็นอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น
           จนกระทั่งเวลาประมาณ 17.30 น. ของวันรุ่งขึ้นก็พบร่างอาจารย์คำตานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนคันนาตรงจุดที่หายไป  จากนั้นจึงทำการรักษาในหมู่บ้านอยู่นานจึงคืนสติคืนมา
           พอฟื้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า  เมื่อถึงเวลานัดหมายเจ้าปู่ศรีสุทโธได้นำพาหนะชนิดหนึ่งมารับที่บ้าน  มีลักษณะคล้ายอู่สวยงามแต่บินได้  เจ้าปู่พาบินไปทางทิศเดียวกับเมืองคำชะโนด
           เมืองนั้นสวยงามมาก  มีปราสาทมีบ้านเรือนมากมาย  อู่ยนต์ได้บินไปปราสาทที่สวยงามที่สุด  ซึ่งเป็นปราสาทของเจ้าปู่ศรีสุทโธนั่นเอง  เมื่อถึงปราสาทก็ลงจากอู่ยนต์  เข้าไปในห้องหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวยงามซึ่งเจ้าปู่เตรียมไว้ให้แล้ว  เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย  เจ้าปู่ก็สอนวิธีการเดินและการวางตัวบนเวทีประกวดให้อย่างละเอียด  พอได้เวลาเจ้าปู่ก็พาเดินไปยังเวทีประกวดซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่มากและมีคนเฝ้าชมงานประกวดมากมาย
           การประกวดปรากฏว่าอาจารย์คำตาได้ตำแหน่งชนะเลิศ  เมื่อประกวดเสร็จกรรมการก็มอบรางวัลให้แต่ท่านไม่รับ  กรรมการได้ขอร้องให้ท่านไปประกวดต่อที่ปากกระดึงและปากงึมซึ่งจัดงานเหมือนกัน  แต่เจ้าปู่ศรีสุทโธไม่อนุญาต  เพราะต้องรีบนำอาจารย์คำตาส่งกลับบ้านตามที่สัญญาเอาไว้  แล้วเจ้าปู่ก็พาขึ้นอู่ยนต์ลำเดิมเดินทางกลับบ้าน
ต้นเดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ.2530  ในคืนวันพระ  ขณะที่ท่านรักษาศีลอยู่ในวัดท่านก็ฝันไปว่า  เจ้าปู่ศรีสุทโธมาขอร้องให้ท่านบวชแต่การพูดจายังไม่เป็นที่ตกลงกัน  เพราะใจท่านยังไม่อยากบวช  ยังเป็นห่วงลูกหลานอยู่
           ในวันพระที่ 2  ท่านก็ฝันว่าเจ้าปู่ศรีสุทโธได้มาขอร้องให้ท่านบวชอีก  แต่ท่านก็ยังไม่ตกลงจนถึงวันพระที่ 3   เจ้าปู่ได้มาเข้าฝันอีก  แต่คราวนี้อาจารย์คำตารู้สึกโล่งใจ  คล้ายมีอะไรมาดลใจ  จึงตกปากรับคำจะบวช  เมื่อตกลงแล้วท่านก็แนะนำเรื่องที่จะบวช   ให้เข้านาคโกนหัวให้นุ่งขาวห่มขาวในวัน 12 ค่ำ  เอาฝ้ายที่จะผูกข้อมือนาคในวันบายศรีสู่ขวัญนาคไปแขวนไว้ในศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธในคำชะโนด  และให้บวชในวันพระขึ้น  15 ค่ำ ซึ่งเจ้าปู่ศรีสุทโธก็จะร่วมพิธีและอนุโมทนาในการบวชครั้งนี้ด้วย  การบวชครั้งนี้อาจารย์คำตามีอายุมากแล้วชาวบ้านจึงเรียกหลวงปู่คำตา  และมีนามสมญาพระว่า “ศิริสุทโธ”
           หลวงปู่คำตาบวชและจำวัดอยู่ที่วัดบ้านวังทองได้ระยะหนึ่งก็ย้ายมาตั้งสำนักสงฆ์ใกล้ ๆ คำชะโนด  และได้พัฒนาบุกเบิกก่อตั้งพัฒนาจนมีความเจริญตั้งเป็นวัดชื่อ  “วัดศิริสุทโธคำชะโนด”   
           คืนหนึ่งในระหว่างกลางพรรษาได้ฝันว่าหลวงปู่พาเข้าไปในคำชะโนดไปดูทรัพย์สินทั้งหมดในเมืองคำชะโนด  เสร็จแล้วก็นำหลวงปู่คำตาขึ้นไปบนศาลาหลังใหญ่ซึ่งมีคนนั่งรอจำนวนมากประกาศให้ทุกคทราบ
           “นี่คือลูกชายของเจ้าปู่  ต่อไปนี้ทรัพย์สินและการปกครองเมืองคำชะโนดนี้จะยกให้ลูกชาย  ขอให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งและอยู่ในความปกครองของลูกชายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
           หลวงปู่คำตาได้อาพาธและได้มรณภาพ  วันที่ 15  สิงหาคม พ.ศ. 2533
 

บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #6 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:20:59 »

คำชะโนด : ป่าผืนสุดท้ายต้นไม้ 2,000 ปี

           บนพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด  ชาวอำเภอบ้านดุงต่างเคารพนับถือและยึดถือปู่ศรีสุทโธและคำชะโนดเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ  คำชะโนดในภาษาถิ่น คำ คือ ที่ที่มีน้ำซับไม่เคยเหือดแห้ง  เมืองคำชะโนดอธิบายให้เห็นภาพมีลักษณะเป็นเกาะลอยอยู่บนน้ำ  ภายในมีสภาพเป็นป่าพรุดิบชื้น  มีต้นไม้แปลกประหลาดที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นชะโนด  มีลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวและต้นหมากอย่างละเท่า ๆ กัน ซึ่งมีอยู่ที่เดียวในโลก แต่ละต้นเรียวยาวสูงเสียดฟ้า  ส่วนพื้นดินมีสีดำเปียกชื้นตลอดเวลา มีเฟิร์นขึ้นปกคลุมหนาทึบแดดแทบจะไม่ส่องถึงพื้น  และยังมีต้นไม้ใหญ่กับต้นไม้เล็กขึ้นแซมหลายชนิด
           คำชะโนดนับว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ผืนสุดท้ายของประเทศไทยที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์  เมื่อถึงฤดูน้ำหลากเกาะคำชะโนดนี้จะลอยได้ เมื่อมีน้ำท่วมบนพื้นที่หน้าวัดศิริสุทโธ  แต่ไม่ท่วมเกาะคำชะโนด  แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว 
           นายทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับป่าคำชะโนด เล่าว่า
           “เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง  อาจจะเป็นใบแห้ง ๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด”
           เคยมีนักวิชาการจากกรุงเทพฯ  ได้ไปทำการสำรวจต้นชะโนดมาแล้ว  โดยให้ข้อมูลว่าต้นชะโนดที่เห็นอยู่ในเกาะคำชะโนดนำไปพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า  ต้นไม้ชนิดนี้อายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี
มีพระภิกษุทำพิธีพลีขอเอามาจากเมืองคำชะโนด  เพื่อนำมาปลูกดูภายในวัด  ท่านกล่าวว่า  โดยนำเอาตั้งแต่ยังเป็นผล  เมื่อนำมาปลูกดูนั้นก็เห็นจริงว่าต้นชะโนดเป็นต้นไม้ที่โตช้ามาก  ปลูก 2 ปียังต้นเล็กเท่าต้นกล้า  ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการยืนยันว่าการที่นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าต้นไม้ชนิดนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี จึงน่าจะเป็นเรื่องจริง
           แรกเดิมทีทางเข้าดงคำชะโนดสะพานทำขึ้นด้วยไม้  เมื่อโดนแดดโดนฝนก็ผุพังจึงมีการร่วมกันทอดผ้าป่า สร้างสะพานขึ้นใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทอดตัวยาวจากพื้นที่วัดศิริสุทโธลอดผ่านซุ้มโขงประตูเมืองเข้าไปในคำชะโนด  ปัจจุบันมีการสร้างสะพานขึ้นใหม่เป็นรูปปั้นพญานาคเจ็ดเศียรสองตัวทอดตัวบนราวสะพานเข้าไปยังคำชะโนด  ที่น่าแปลกก็คือสะพานทำไว้เป็นสองตอนไม่ได้ทอดยาวถึงเมืองคำชะโนด  จะมีช่วงที่สะพานเว้นช่วงขาดหนึ่งผ่ามือบริเวณทางเข้าเมืองคำชะโนด  ชาวบ้านเล่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการให้มนุษย์กับพญานาคเชื่อมต่อกันก็เลยทำให้สะพานแตกหัก
           นายอุทัย ไพเราะ อายุ 59 ปี แต่งกายในชุดสีขาวซึ่งเป็นจ้ำปู่ศรีสุทโธ(ร่างทรงทางภาคอีสาน)  เล่าว่า
           “ตอนช่างมาทำสะพานเชื่อมกันเข้าไปในคำชะโนดสร้างกี่ครั้งสะพานก็เกิดพังทลาย ซ่อมกี่ครั้งก็ยังพังเหมือนเดิม  กลางคืนเจ้าปู่ศรีสุทโธก็ได้มาเข้าฝันและบอกว่า  ให้เว้นช่องขาดระหว่างสะพานไว้  เพราะว่าเส้นทางระหว่างโลกมนุษย์จะเชื่อมต่อเส้นทางเมืองบาดาลไม่ได้ และให้ถอดรองเท้าก่อนถอดหมวกด้วย  เพราะใส่รองเท้าเข้ามานั้นบางคนเหยียบสิ่งสกปรกเข้าไปในเมืองหากไม่ทำตามแล้วจะทำให้ทุกคนที่เข้ามาได้เจ็บได้ไข้   เมื่อก่อนใครจะใส่เสื้อผ้าสีแดงเข้ามาคำชะโนดไม่ได้ต้องมีอันเป็นไปทุกราย ภายหลังปู่ศรีสุทโธจึงอนุโลมให้มีผ้าสีแดงเข้ามาได้  เปลี่ยนเป็นให้ถอดรองเท้ากับหมวกไม่ให้พูดจาหยาบคายและห้ามนำสิ่งใดออกไปจากป่าคำชะโนด  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ  และแต่ก่อนใครมาหาปลาหาของป่าแถวนี้ต้องขอปู่ศรีสุทโธก่อน  บางคนทอดแหหาปลาบอกกับปู่ศรีสุทโธว่าขอปลาช่อนตัวใหญ่ ๆ สักตัวก็พอ ผลปรากฏว่าทอดแหก็ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มา  ทุกคนก็จะได้ เพียง 1 ตัว เหมือนกันแถมขนาดตัวปลาช่อนยังมีขนาดเท่ากันด้วย”
           ผมไปถึงทางเข้าคำชะโนดและเดินไปตามทางเข้าสะพานคอนกรีตที่สร้างใหม่  หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาที่นี่มันเหมือนกลับมาย้อนอดีตวันวานชีวิตที่ผ่านมา  บริเวณโดยรอบมีการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อการท่องเที่ยว  สะพานที่สร้างเข้าไปยังคำชะโนด มีการยกราวขึ้นสูงสะพานจนมองไม่เห็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทางเข้าสองข้างทางสะพาน  ผมเขย่งเท้ามองดูธรรมชาติรอบ ๆ ทางเข้าแต่ก็มองไม่ถนัดนัก  เมื่อก่อนราวสะพานเป็นเสาปูนราวเหล็กโล่งสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมและธรรมชาติรอบ ๆ อย่างสวยงามมาก  แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือรอยขาดระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองบาดาล
           เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณคำชะโนดความเย็นไต่ขึ้นมาจากปลายเท้าจรดหัวทำให้ขนลุก  ป่าคำชะโนดเป็นป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์   มีค้างคาวร้องส่งเสียงทั่วป่า  กระรอกเด่นบนต้นชะโนดกระโดจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง  บริเวณบางจุดจะมีกลิ่นฉุนอับชื้นจากมูลสัตว์  ผมเดินเข้าไปศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธและจุดธูปเทียนดอกไม้บูชา  ท่องคาถาบูชาเจ้าปู่ศรีสุทโธ  “กายะจิตตัง  อะหังวันทา  นาคาธิบดีศรีสุทโธ  วิสุทธิเทวา  ปูเชมิ”   ที่เขียนในป้าย  จากนั้นผมเดินไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ตักน้ำในบ่ออธิฐานขอพรเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองแล้วนำน้ำมาลูบหัว
           ชาวบ้านเชื่อว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์คือทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด  น้ำในบ่อจะมีปริมาณเท่าเดิมอยู่อย่างนั้นและจะขังตลอดปี  ไม่เคยแห้ง  เคยมีชาวบ้านนำไม้ไผ่ยาว ๆ มาต่อกันยี่สิบกว่าลำไม่สามารถหยั่งถึงก้นบ่อน้ำได้  ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำในบ่อนี้จะไปทะลุที่สะดือแม่น้ำโขงหรือบริเวณวัดอาฮงศิลาวาส จังหวัดหนองคาย
           จากที่พ่อเล่าให้ฟัง  แรกเดิมทีบ่อน้ำศักดิ์สิทธ์มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเท่านั้น  ต่อมาเกาะคำชะโนดได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจึงมีการขยายขอบบ่อออกขนาด 5 x 5 เมตร  ขอบบ่อหล่อคอนกรีตสูงประมาณ  60  เซนติเมตร  สามารถนำกระบวยกะลามะพร้าวก้มลงตักน้ำจากบ่อได้  ปัจจุบันมีการสร้างพญานาค 7 เศียรโอบรอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  มีน้ำพ่นออกจากปากพญานาคหัวตรงกลางลงมายังบ่ออ่างน้ำวงกลมที่สร้างไว้เพื่อรับน้ำให้คนมาตักไปล้างหน้าและดื่มกิน
           ที่บ่อน้ำแห่งนี้บางเวลาจะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายกับว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังหายใจอยู่ใต้น้ำ  ชึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการหายใจของพญานาคจึงทำให้เกิดเป็นฟองอากาศผุดขึ้นมาให้เห็น  ต่อมามีสิ่งอัศจรรย์คือรูปปั้นพญานาคและพญาจระเข้ลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ทั้งที่รูปปั้นต้องใช้สองมือยกจึงจะยกขึ้น  นับว่าเป็นเรื่องแปลกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก 
           น้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เมื่ออธิฐานนำมารักษาโรคก็จะหาย   แต่ก่อนจะนำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปใช้นั้น  ต้องท่องคาถาบูชาสักการะเจ้าปู่ศรีสุทโธก่อน  เพื่อเป็นการขอได้อย่างถูกวิธีแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษาอยู่   ทั้งยังเป็นการทำให้น้ำ  เปี่ยมไปด้วยเทวฤทธิ์จากนาคทั้งหลายที่มีฤทธิ์อันเป็นทิพย์  และที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือเทศกาลออกพรรษาบางครั้งจะ  มีลูกไฟประหลาดพุ่งขึ้นจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับบั้งไฟพญานาคที่จังหวัดหนองคาย
           ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ คำชะโนดเล่าว่า  มักจะพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในมิติลี้ลับอยู่เสมอ เช่น เห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญ มีผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอผ้าจากชาวบ้าน  และเห็นรอยพญานาคขึ้นภายในบริเวณวัดและใกล้ๆเกาะคำชะโนด
           เมื่อคราวที่จัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 5 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท้องสนามหลวง เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2530 น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ “คำชะโนด” ได้รับเลือกไปร่วมงานพระราชพิธี ดังกล่าว
           ผมเดินจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และมานั่งไหว้อธิฐานลูบคล้อง  ซึ่งเชื่อว่าใครลูบฆ้องและเกิดเสียงแสดงว่าเป็นคนมีบุญ   ผมลูบตรงกลางหลุมฆ้องเบาปรากฏว่าเริ่มมีเสียงดังออกมา  เมื่อยิ่งลูบเร็วและแรงเสียงฆ้องยิ่งดังสนั่นก้องทั่วป่าคำชะโนด
           เกาะคำชะโนดยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยังไม่แน่ชัด แต่ก็มีวิทยาศาสตร์ที่พยามจะพิสูจน์ว่าเกาะนี้มันลอยน้ำได้อย่างไร


บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #7 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:21:41 »

วิทยาศาสตร์กับความเชื่อ

           วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีการค้นหาเพื่อจะพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ  ครั้งหนึ่งมีการพิสูจน์บั้งไฟพญานาคที่โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย  ว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติหรืออะไรกันแน่  แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จนวันนี้   แต่ทุกครั้งที่วิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องสิ่งต่าง ๆ นั้นจะจะต้องต่อสู้กับความเชื่อของคนในพื้นที่ที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาลที่สืบทอดกันมา บางครั้งก็มีเรื่องขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว  ส่วนคำชะโนดก็เช่นเดียวกัน    มีคณะนักวิชาการนักวิทยาศาสตร์และทีมงานจากรายการเรื่องจริงผ่านจอได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาคำตอบความมหัศจรรย์ของเกาะนี้ว่าลอยน้ำได้อย่างไร  เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์หรือธรรมชาติสร้างขึ้นกันแน่
           ร.ศ.ฤดีมล  ปรีดีสนิท  นักวิชาการผู้ศึกษาวิจัยเกาะคำชะโนด  กล่าวว่า  “เกาะนี้เป็นเกาะที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ  โดยการสะสมของซากพืชซากไม้ที่ทับถมกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในแอ่งแห่งนี้  จากเศษผง  ซากพืชซากไม้จนกลายเป็นดินในที่สุด  ปัจจุบันมีความหนาอยู่ที่1-3  เมตร  รากของต้นชะโนดที่แผ่ออกไปในแนวนอนทำหน้าที่เกาะเกี่ยวกันช่วยพยุงเกาะแห่งนี้ให้ลอยน้ำได้”
           ดร.อดิชาติ  สุรินทร์คำ  นักธรณีวิทยาจากกรมทรัพยากรธรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอธิบายถึงเกาะคำชะโนดนี้ว่า
           “จะว่าไปก็เหมือนแหลมของแผ่นดินที่ยื่นออกไปแต่มันไม่มีรากเท่านั้นเองไม่มีฐานมันเหมือนเราเอาสวะมากองรวม ๆ กันแล้วมีอะไรดึงไว้ไม่ให้มันลอยไปตามน้ำ  จนรากที่มันยึดเกาะติดกัน  แล้วมีบางส่วนที่มันเชื่อมจากดินที่ยื่นออกมาจากดินหมู่บ้าน แต่ตรงดินนี้เจาะออกนิดเดียวก็จะเป็นน้ำแล้ว”
           มีการสรุปเบื้องต้นว่าในช่วงเวลาน้ำหลากเกาะนี้ก็จะลอยตัวขึ้นตามระดับน้ำหลังน้ำลดเกาะนี้ก็จะยุบตัวลงตามผิวดิน  นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้สะพานที่เชื่อมเกาะคำชะโนดและแผ่นดินหลักแตกหักทุกปี
           ทางคณะทีมงานได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิกู้ภัยสว่างเมธาอุดรธานีเอื้อเฟื้ออุปกรณ์และนักประดาน้ำ  เพื่อที่จะดำน้ำทำการสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด เพื่อหาคำอธิบายการลอยของเกาะคำชะโนดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
           การดำลงไปครั้งแรกคือการดำลงไปสำรวจพื้นที่เกาะด้านล่าง  การดำลงไปใต้เกาะคำชะโนดยังไม่มีใครกล้าทำมาก่อน  เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าใต้น้ำมีจระเข้และปลาขนาดใหญ่ที่ดุร้ายคอยดูน่านน้ำใต้เกาะให้เจ้าปู่ศรีสุทโธอยู่   จากการสำรวจเบื้องต้นนักประดาน้ำกล่าวว่า
           “ข้างล่างน้ำใสมาก เห็นแต่หางสาร่าย และสามารถเข้าไปต่อได้”
           การลงไปครั้งที่สองคือการลงไปบันทึกภาพของเกาะคำชะโนด  นักประดาน้ำสองคนดำลงไปในทิศทางเดิมระยะกว่า 20 เมตร ผ่านไปประมาณ  10  นาที  ก็ได้รับสัญญาณให้ดึงเชือกกลับ  เพราะเข้าไปไม่ได้แล้วจึงดึงเชือกขอขึ้นฝั่ง
“ข้างในเป็นโพรงเข้าไปเหมือนถ้ำลอยได้  เคลียร์สะดวกทางโล่ง  พอครั้งที่ 2 ปรากฏว่ามันตันเป็นรากหญ้ายาวติดพื้นเข้าไปไม่ได้  ไม่เหมือนรอบแรกมีกิ่งไม้หญ้าบ้าง  ผมพยายามเคลียร์ออกแล้วแต่ก็เข้าไปไม่ได้   เวลาแหวกหญ้าเข้าไปเหมือนกับคนมาดึงไว้ไม่ให้เข้าไป”
           นับว่านับว่าเป็นการท้าทายอย่างมากในการดำน้ำลงไปสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด  จากทดลองทางวิทยาศาสตร์ทำให้รู้ภายใต้เกาะคำชะโนดว่ามีลักษณะอย่างไร  จึงทำให้เกาะนี้ลอยน้ำได้
           “ครั้งแรกที่เข้าไปอาจเป็นการไปทำช่องว่างให้เกิดขึ้น  เมื่อเราทำช่องว่างเกิดขึ้นมันจะต้องปรับตัวใหม่  สวะที่อยู่ข้างบนหรือรากไม้  วัชพืชที่เกิดอยู่ในน้ำมันต้องปรับตัวใหม่  ตรงไหนมีช่องว่างมันก็ขยับเหมือนเราขยับเข้าที่  พอไปอีกทีมันก็มาปิดบังแล้ว  จะมีต้นไม้บางชนิดที่สามารถเกิดอยู่ในน้ำและบนดินที่เรียกว่าเกาะลอย  บางส่วนผมเชื่อว่ามันหยั่งลงไปชั้นดินหรือชั้นหินที่อยู่ข้างล่างใต้หนองน้ำ”  ดร.อดิชาติ  สุรินทร์คำ   กล่าวสรุป
           อย่างไรก็ตามชาวบ้านเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนต้องห้าม  ที่บางทีเราเองไม่ควรก้าวล้ำเข้าไป  แต่การสำรวจครั้งนี้วิทยาศาสตร์มีส่วนช่วยทำให้รู้ว่าเกาะนี้ลอยได้โดยรากของต้นชะโนดหยั่งลึกลงพื้นดินใต้น้ำเกาะคำชะโนด

 

บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #8 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:22:26 »

ภารกิจฟื้นฟูดำรงรักษาผืนป่าคำชะโนด : แม้ว่าต้องแลกด้วยฉายาป่าอาถรรพ์

           ปี พ.ศ. 2549  ความเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของป่าคำชะโนดก็เกิดขึ้น  มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจนเกินขอบเขต  มีการสร้างสะพานเข้าเมืองคำชะโนด  และสร้างศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธหลังใหม่  ส่วนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มีการสร้างพญานาคล้อมรอบขอบบ่อ  ส่วนภายนอกนั้นมีการสร้างถนนรอบเกาะคำชะโนด  ภายในบริเวณวัดมีการสร้างพระพุทธรูปยืนปางประทานพรองค์ใหญ่สูงเสียดฟ้า  และสร้างอาคารต่างเพิ่มขึ้น  สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นสาเหตุทำให้ต้นชะโนดเหี่ยวเฉาและตายลง
           การนำสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัตถุสมัยใหม่เข้าไปไว้ในป่าคำชะโนด  ล้วนแล้วแต่เป็นการทำลายและเปลี่ยนระบบนิเวศ  ขัดต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างรุนแรง  จึงมีการระดมความคิดจากหลายฝ่าย  ทั้งทางจังหวัด  ทางอำเภอบ้านดุง  ได้เร่งหาสาเหตุและแก้ไขฟื้นฟู   บ้างก็เสนอว่าให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นออก  แต่นั้นยังไม่ใช่ทางออกที่ดี  การแก้ปัญหาทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคนในพื้นที่นั้นด้วย
           เมื่อถามถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้นมีผลดีหรือผลเสีย  นายเข็มพร  เพ็งสุวรรณ  ชาวบ้านมีชัย  อำเภอบ้านดุงกล่าวว่า
           “ด้านการท่องเที่ยวมีผลดีขึ้นคนรู้จัก  มีคนมาทัศนศึกษามากขึ้น    ส่วนด้านธรรมชาติต้นชะโนดมีการตายบ้างบางส่วน  เพราะน้ำท่วม  มีการแก้ไขโดยสูบน้ำจืดเข้ามารอบ ๆ เกาะคำชะโนด  และไม่ให้ทำนาเกลือใกล้ ๆ บริเวณนี้  มันเป็นผลกระทบถึง  แม้มันไม่เป็นผลกระทบโดยตรง  ตอนนี้ได้มีการนำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มาขายข้างนอกบริเวณในวัดโดยการให้ผู้สนใจบูชาดพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตและครอบครัว”
           การพัฒนาเป็นเรื่องที่ดีแต่ต้องดูผลที่ตามมาด้วยว่าจะมีผลดีหรือผลเสียมากน้อยอย่างไร  ผมมองดูรอบ ๆ ทางเข้าสิ่งก่อสร้างเดิมๆที่เติบโตมาพร้อมกับผมได้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้นดอกจานสีเหลืองที่ออกดอกบานสวยงามช่วงหน้าหนาวข้างสะพาน  ซุ้มประตูโขงทางเข้าที่ทุบทิ้ง สะพานที่ต้องพายเรือเข้าไปในคำชะโนดตอนน้ำท่วม  จะมีเหล่าบรรดาสัตว์น้ำ ปู  ปลา หอย  ปลิงควาย  ว่ายน้ำมาตอนรับคนที่เข้าไปในเมือคำชะโนดเพื่อสักการะเจ้าปู่ศรีสุทโธ  สิ่งเหล่านี้ที่เติบโตมาพร้อมกับผมมันได้หายไปหมดแล้ว  เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำให้ผมได้คิดถึง
           นายอุทัย ไพเราะ จ้ำปู่ศรีสุทโธ (ร่างทรงทางภาคอีสาน)   ซึ่งเป็นผู้ดูแลป่าคำชะโนด  กล่าวว่า
           “ไม่เห็นด้วยกับการสร้างสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้  มีแต่ปูนซีเมนต์มันอาจทำให้ดินเค็มต้นชะโนดในนี้อาจตายได้ หากต้นไหนตายก็จะหักล้มลง  จึงเป็นการเปิดช่องทางลมให้พัดเข้ามาแรงเกินไป  หากไม่มีต้นไม้ใหญ่บังลมข้างนอกอาจจะทำให้ต้นไม้ข้างในโดนลมพัดหักหมด  แล้วมันจะเหลืออะไร  เคยเสนอให้ใช้หินใช้ศิลาแลงมาใช้ในการก่อสร้างมันจะไม่ขัดกับสิ่งแวดล้อมนัก  เขาก็หาว่าผมดึกดำบรรพ์เต่าล้านปี”
           พอพูดเสร็จนายอุทัยถอนลมหายใจมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก 
           ทั้งนี้จากการสังเกตจากภายนอกเห็นชัดเจนว่าใบของต้นชะโนดที่เคยมีสีเขียวเข้มสดใส  ลักษณะเหมือนใบตาล กลับมีสีซีดลงมากจนเกือบเหลือง ส่วนปลายใบก็เหี่ยวพับลง รวมทั้งที่โคนก้านติดใบก็มีลักษณะพับลงอีก และจะเป็นเฉพาะต้นที่มีขนาดสูง ที่รายล้อมอยู่รอบๆป่า  ส่วนต้นที่อยู่ด้านใน หรือต้นขนาดเล็ก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นชัดเจนอีกว่าน้ำที่เคยท่วมรอบ ๆ ป่า มีระดับลดลงจนเห็นผิวดิน และตลอดสองข้างสะพานเดินเข้าป่า ก็ไม่มีลักษณะชุ่มน้ำเหมือนแต่ก่อน  หากเดินลงไปพื้นจะอ่อนนุ่ม เหมือนเดินบนเลน  ขณะนี้เดินลงไปได้เหมือนเดินบนพื้นดิน ต้นชะโนดอาจจะลดจำนวนลงเรื่อย ๆ หรือไม่อาจตายหมดใน 3-4  ปี  การทำลายธรรมชาติมนุษย์ยังคงเป็นตัวต้นเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้บริเวณรอบ ๆ เกาะคำชะโนดเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนดังเช่นก่อน  เมื่อก่อนหากมองไปยังน้ำรอบ ๆ เกาะจะเห็นกอหญ้ารกรอบ ๆ เกาะ  มีพืชน้ำขึ้นแซมและจอกแหนบนผืนน้ำหนาทึบ
           ด้านนายอดุลย์ จันทนปุ่ม นายอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า
           “ต้นชะโนดเหี่ยวในส่วนรอบนอก ทางอำเภอได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ต้นชะโนดเหี่ยวเฉา น่าจะมาจากระดับน้ำลดลง อาจเกิดจากการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยปล่อยน้ำออกเพื่อสร้างถนน สะพาน เบื้องต้นอำเภอบ้านดุงได้อุดท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำระบายออกไป พร้อมกับทดน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียง เข้าไปทดแทนเพื่อรักษาระดับน้ำ และในทางวิชาการทางได้ประสานไปยังป่าไม้จังหวัด และทางเกษตรจังหวัด ให้มาตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ต่อจากนั้นจะขอนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมป่าไม้ ได้เข้ามาตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง”
           จากการที่ต้นชะโนดเหี่ยวเฉาและทยอยตาย  จึงมีการร่วมมือกันของหน่วยงานจังหวัด  เพื่อหาหนทางปรับปรุงแก้ไข ฟื้นฟูป่าแห่งนี้ให้กลับมาดำรงความอุดมสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด  โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาดู  และทำการพลีขอนำต้นเมล็ดออกไปเพื่อเพาะพันธุ์  คาดว่าจะได้ต้นชะโนดเป็น 1,000  ต้น
           นางสมร  สุริยะจันทร์  อาจารย์ประจำวิชาเกษตรกรรมโรงเรียนบ้านดุงวิทยา  ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมหาหนทางฟื้นฟูเกาะคำชะโนดกับทางจังหวัดอุดรธานี  กล่าวว่า
           “ในส่วนทางโรงเรียน  ได้ส่งเสริมให้ให้นักเรียนเพาะพันธุ์ต้นกล้าจากเมล็ดชะโนด  ที่ขอเก็บมาจากโคนต้นชะโนด  ก่อนนำไปปลูกทดแทนกับต้นที่ล้มตายไปจากการพัฒนาที่ผิด ๆ  ปัจจุบันเรามีต้นกล้าอยู่ประมาณ  17,000  ต้น  ที่พร้อมจะเดินทางเข้าสู่ป่าคำชะโนดแล้ว”
           ด้านตัวแทนประชาชนในพื้นที่  ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าคำชะโนดว่า  ครั้งแรกที่มีการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ภายในป่า  ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่อง  แต่ก็เห็นว่ารัฐบาลได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญที่จะพัฒนาป่าคำชะโนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว  ทุกคนต่างก็ดีใจ  เพราะเศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น  จะมีงานทำและมีรายได้จากการขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว  แต่กลับไม่รู้ว่าความเจริญดังกล่าวส่งผลต่อระบบนิเวศของป่าคำชะโนดให้เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ
           เกาะคำชะโนดหรือจะถึงขั้นวิกฤตแล้ว  แต่ความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อเกี่ยวกับคำชะโนดยังคงแข็งแรงและอยู่ในความความเชื่อความศรัทธาของชาวบ้าน  เพราะความเชื่อความศรัทธาเกี่ยวกับเจ้าปู่ศรีสุทโธ  ยังฝังอยู่ในส่วนลึกจิตใจของชาวอำเภอบ้านดุงมาแต่โบราณกาล สิ่งที่มองไม่เห็นหรือสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นั้น  จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล
           ถึงแม้ว่าคำชะโนดจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมลงหรือจะมีการค้นหาพิสูจน์เกี่ยวกับเกาะคำชะโนดต่างๆ   ที่เหลือจากนี้คือการรักษาสภาพป่านี้ให้อุดมสมบูรณ์คืนกลับมาโดยเร็ว  แม้ว่าต้องแลกด้วยฉายาป่าอาถรรพ์ก็ตาม

บันทึกการเข้า
## ธันวา มหาเฮง ##
Super Hero7
*

พลังน้ำใจ: 5302
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,574



« ตอบ #9 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:22:58 »

ข้อปฏิบัติในการเข้าไปสักการบูชาเกาะคำชะโนด

           1.ห้ามใส่รองเท้า  สวมหมวกเข้าไปในเมืองคำชะโนด
           2.ห้ามนำสุรา  พร้อมสิ่งของเสพติดใดๆเข้าไปในเมืองคำชะโนด
           3.ห้ามขูดขีดต้นไม้บริเวณในวัดและในเมืองคำชะโนด
           4.ห้ามนั่งบนขอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และห้ามนั่งบนราวสะพาน
           5.ห้ามส่งเสียงดัง  ควรพูดคุยกันเบา ๆ แสดงกิริยาสุภาพ
           6.ห้ามพูดจาหยาบคายดุด่าสาปแช่งหรือพูดหมิ่นประมาท
           7.ห้ามทิ้งสิ่งของใดๆลงในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  จงช่วยกันรักษาความสะอาด
           8.ห้ามทิ้งขยะ  เศษอาหาร  หรือสิ่งของใด ๆ ลงในเมืองคำชะโนด
           9.ห้ามใช้ขันหรือถ้วยแก้วตักน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์
 


พันธุ์ไม้ในเกาะคำชะโนด

           ชะโนด            1865      ต้น         
           ต้นหว้า            58         ต้น           
           มะเดื่อใหญ่      301     ต้น
           ประดงแดง      434        ต้น         
           แสมแดง          109      ต้น           
           ไม้ดง               11       ต้น
           พญาสัตยาบรรณ    30        ต้น     
           มะเดื่อขน        232      ต้น             
           แสงน้ำ             71      ต้น
           สมุนแว้ง          13         ต้น           
           งิ้วผา                15       ต้น             
           ก้านเหลือง       10      ต้น
           ยางใหญ่           5           ต้น           
           เหมียดแดง       51       ต้น             
           สมอภิเพก        25     ต้น     
           ตาว                  302       ต้น           
           ไทรหิน            101     ต้น           
           ตับเต่า              12      ต้น


           ปี 2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น
           ปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865  ต้น
 

บันทึกการเข้า
TEERAK.
Golden Hero 8
*

พลังน้ำใจ: 32535
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 42,143



« ตอบ #10 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2014, 13:31:18 »

 +1พลังน้ำใจ

คำพูดเป็นเพียงลม  แต่คมยิ่งกว่าฟัน
ตัดอะไรก็ได้ โดยเฉพาะ  ความรู้สึกดีๆ
บันทึกการเข้า
k1415
Junior Mb2
**

พลังน้ำใจ: 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 36


« ตอบ #11 เมื่อ: 26 มีนาคม 2016, 09:47:57 »

ผีจ้างหนังไปฉาย ณ ดินแดนอาถรรพ์ป่าคำชะโนด

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=-h1ali3c6Mk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=-h1ali3c6Mk</a>

กำเนิดวังนาคินทร์ หรือ เมืองบาดาล "คำชะโนด" และตำนานพญานาคสร้างแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=n8n1HmpqtzM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=n8n1HmpqtzM</a>
บันทึกการเข้า
แท็ก:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค "เว็บมหาชน คนมหาโชค"
 
คติ "กินอยู่อย่างพอเพียง เสี่ยงโชคแต่พอควร"
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย
คำเตือน -ทางเว็บไม่ได้ทราบเป็นการล่วงหน้าว่าหวยทางกองสลากจะออกตัวไหน แต่เราใช้การวิเคราะห์หรือประเมินตามหลักสถิติ
หรือวิธีการอื่นว่า เลขที่มีโอกาสออกมากที่สุดในแต่ละงวดควรจะเป็นเลขอะไรเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ การเล่นหวยถือว่ามีความเสียงมาก
Sitemap | Contact | WAP | xHTML | iMode | WAP 2 | RSS

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines | Sitemap
อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน ©
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.951 วินาที กับ 24 คำสั่ง
Copyright (c) 2008-2022 apichokeonline.com