อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน

บอร์ดทั่วไป => พระเครื่องของขลัง => ข้อความที่เริ่มโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 08:50:00

ฝากภาพ i-pic


หัวข้อ: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 08:50:00


    นั่งรอดูโควิด - 19  ที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในเมืองไทย  แวะเยี่ยมคนโน้น  แวะเยี่ยมคนนี้
มาหลายวันแล้ว  เค้าคงกำลังสนุกสนานเต็มที่  ที่เดินไปตรงไหน  ฝูงชนก็แตกฮือ  หนีกันอุตลุต
ปิดหน้าปิดตา  ปิดประตูบ้าน  หน้าตาคงน่าเกลียดน่ากลัวพิลึกนะเจ้าโควิดนี่  ใคร ๆ เขาจึงกลัวนัก
กลัวหนา 

    กลัวเจ้าโควิด  ก็อยู่แต่ในบ้าน  หมั่นล้างไม้ล้างมือ  อย่าสุงสิงกับใครมากนัก  เพราะเจ้าโควิด
มันไม่ชอบเข้าใกล้คนนิสัยแบบนี้

    ปิดประตูอยู่บ้าน   เงียบเหงา  ไม่รู้จะทำอะไร  หวยก็ไม่อยากคิด  รื้อกรุพระมานั่งส่อง  มอง
อดีตที่ผ่านไปผ่านองค์พระแต่ละองค์ ๆ  เหมือนเอาหนังเก่า ๆ มาฉายใหม่

    เออ...เข้าท่าหน่อย


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: pornsak11 ที่ 04 เมษายน 2020, 08:50:36
 *k<//* *tx, r@>


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 09:21:01


    มันก็แปลก....พระเครื่องมีเฉพาะเมืองไทย  ประเทศอื่นที่นับถือศาสนาพุทธไม่เห็นเขามีพระเครื่อง
ประเทศลาว  ประเทศพม่า  ประชาชนเขายึดมั่นและศรัทธาพุทธศาสนามากกว่าคนไทยเสียอีก  ลองไป
สัมผัสดู  จะเห็นได้ชัดเจน

     พระพุทธรูป    เขาเก็บไว้ที่วัด  คนไหว้พระต้องไปไหว้ที่วัด  พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ  ที่ลาวเขามีนะ
แต่จะเก็บไว้ที่วัด  ประเทศพม่า ประเทศจีน ญี่ปุ่น  มีแต่พระองค์ใหญ่ ๆ อยู่ที่วัด

     ส่วนรูปหล่อพระภิกษุ  นี่ไม่ค่อยเห็นที่ทำด้วยหิน ดิน ปูน  โลหะ

     ในวัดจีนมีรูปปั้นเซียนนั่งเรียงรายให้บูชา   แทบไม่น่าเชื่อว่ารูปปั้นเหล่านั้น  เคยเป็นคนจริง ๆ  ที่
บำเพ็ญเพียรจนบรรลุ  ตอนมรณภาพก็นั่งในท่าสมาธิ  ร่างกลายเป็นหิน  ตอนหลังก็เอาสีหรืออะไรมา
ทาทับ  จนมองดูเหมือนรูปปั้น  แต่ข้างในนั้นเป็นคนจริง ๆ

    หลวงพ่อในเมืองไทย  มีมากมายที่มรณภาพแล้ว  ไม่เน่าเปื่อย แข็งเป็นหิน  คนเขาเคารพนับถือ
เก็บใส่โลงแก้วไว้ให้คนเคารพกราบไหว้   

    พระไทยนี่ไม่นิยมนั่งมรณภาพ  และไม่นิยมเอาสีมาทาทับร่าง  เราจึงมองเห็นสรืระร่างกายที่เป็นจริง
ได้ทุกสัดส่วน


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 09:44:00


      พระเครื่องมีแต่ในประเทศไทย.....ในตำนานที่เขาเล่ากัน  พระเครื่ององค์แรก ๆ  นี่คือ "พระรอด ลำพูน"
ที่สร้างโดยพระนางจามเทวี  สมัยเป็นพันปีมาแล้วมั่ง  (ถ้าตรงนี้ผิดขออภัย ตานำชัยเขียนจากความจำอย่างเดียว)

      ตำนานก็คือเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา   เรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา   ยิ่งสืบทอดมาหลายยุค   ทุกอย่างก็ยิ่งจะเพี้ยน
ห่างไกลจากข้อเท็จจริงออกไปทุกที

      ความจริงคืออะไร....เป็นความจริง  หรือเป็นแค่เรื่องขำ..ขำ

      ต้องใช้วิจารญานของแต่ละคนเป็นตัวตัดสิน

      เมืองไทยมีพระที่คนโบราณสร้างไว้  แล้วฝังไว้ในกรุ  มากมายหลายกรุ   คนเล่นพระรู้จักกันดี

ใครเป็นคนสร้างพระเหล่านั้น   สร้างเมื่อไหร่  สร้างทำไม
ไม่มีใครรู้....เพราะไม่มีคนที่เกิดทันในยุคนั้นเหลืออยู่

      ก็มีแต่เขาเล่าว่า......จากแผ่นทองที่จารึกประวัติไว้ในกรุบ้าง  จากนักประวัติศาสตร์  นักโบราณคดี
และผู้รอบรู้สารพัดบ้าง  จากสมมุติฐานบ้าง

      แล้วที่เขาเล่าว่านั้นนะ...มันจริง  หรือแค่ขำ..ขำ

      ข้อสังเกตนะ....คนเล่นพระส่วนใหญ่  ชอบเล่นพระกับหู  เชื่อจากสิ่งที่ได้ยินมา  นิทานเกี่ยวกับวงการ
พระเครื่องจึงมากมายก่ายกอง  ยิ่งนิทานพิศดารเท่าไหร่   พระองค์นั้นก็ยิ่งขลังมากขึ้น

       เพราะพระพูดเองไม่ได้....ดีไม่ดีอยู่ที่คนโปรโมท

       ขำดีไหมละ..


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 10:42:15


    ไม่ต้องให้ไกลถึง   500 ปี  หรือ พันปี    แค่สมัยรัชกาลที่  5  ร้อยกว่าปีมานี้เอง
พระเครื่องพิมพ์สมเด็จของสมเด็จพุฒาจารย์โต  พหรมรังสี  แห่งวัดระฆัง  ก็ยังไม่มี
ใครรู้ข้อเท็จจริง

    วัดระฆังก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม  และไม่เคยเป็นวัดร้าง  มีเจ้าอาวาสสืบทอดมาตลอด
ระยะเวลา  150  ปี  ก็แค่ชั่ว  3  อายุคน  ไม่มีอะไรให้เราจับต้องได้อีกหรือ

    มีแต่สารพัดนิทานที่เล่าขานกันมา  แล้วสร้างให้พระพิมพ์สมเด็จเป็นพระที่มี
คุณค่าลึกล้ำของเมืองไทย

    ยังไม่เห็นพระพิมพ์สมเด็จพูดเองสักคำ   มีแต่คนอื่นพูดแทนทั้งนั้น

    คนที่จะรู้ขอเท็จจริงมากที่สุด   ก็น่าจะมีแต่วัดระฆังเท่านั้น

    ความจริงแล้วทุกอย่างมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร   ก็เพราะสมัยก่อนพระเครื่อง
เขาไม่มีการซื้อขาย  พระท่านสร้างก็เพื่อแจกให้ญาติโยมฟรี ๆ  โดยจุดประสงค์
ใดนั้นไม่อาจจะรู้ได้  เพราะไม่มีบันทึกให้เห็น และก็ไม่รู้จะบันทึกทำไม

    แต่เมื่อพระเครื่องกลายเป็นทรัพย์สิน   มีมูลค่า  มีราคา  มีการซื้อขายกัน
พระเครื่องแต่ละองค์ก็เลยต้องประชันอภินิหารความศักสิทธิ์กันให้เห็นเด่นชัด
การเล่าขานตำนานของพระแต่ละรุ่น แต่ละพิมพ์จึงเกิดขึ้น

    ก็แค่เล่าให้ฟังขำ..ขำ  อย่าเอาเป็นจริงเป็นจัง


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 11:12:07
         (https://4upic.com/images/2020/04/04/alb07i.jpg) (https://4upic.com/image/alb07i)
  
         (https://4upic.com/images/2020/04/04/albshG.jpg) (https://4upic.com/image/albshG)

    ต่อไปก็จะเป็นสารพัดพระเครื่อง  ที่จะนำลงให้ชมแบบ ขำ..ขำ  อย่าเป็นจริงเป็นจังมากนัก

    พระองค์นี้  เขาตั้งชื่อว่าพระร่วง กรุสุโขทัย  เนื้อดินเผา  แท้หรือเก๊  ตานำชัยไม่มีความรู้  พระองค์นี้อยู่ในมือตานำชัยมาแล้ว
50  ปีกว่า ๆ  เกือบจะ  60  ปี  เนื้อสวย  เป็นมันวาว  เนื้อแห้งสนิท   พระมีมวลสารมาก    โดยเฉพาะว่านแร่ดอกมะขาม  ที่เห็น
กระจายอยู่ในองค์พระ  ทำให้องค์นี้มองแล้วไม่เบื่อ

    รวมทั้งคราบกรุบาง ๆ  ติดอยู่กับพระองค์นี้มาแต่ดั้งเดิม

     ขำ ๆ.....เดิมน่าจะเป็นพระไม่แท้   แต่เมื่อเก็บรักษามาตั้ง  60  ปี  มาวันนี้พระองค์นี้น่าจะเป็นพระแท้ซะละมั้ง


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 04 เมษายน 2020, 11:25:50
          (https://4upic.com/images/2020/04/04/albwnP.jpg) (https://4upic.com/image/albwnP)

          (https://4upic.com/images/2020/04/04/alb8i2.jpg) (https://4upic.com/image/alb8i2)

   พระกรุวัดถ้ำเสือ  จังหวัดสุพรรณบุรี

    อยู่ที่ตานำชัยมาประมาณ  50  ปี  เคยทดสอบโดยแช่ลงในน้ำร้อน  ก็จะมีพรายน้ำผุดขึ้นมา  2-3  จุด    เนื้อแห้งสนิท  ยกขึ้นมาจากน้ำ
ก็แห้งเร็ว  พระถ้ำเสือนี่ดูยากมาก  แต่ละองค์นี่ไม่ค่อยเหมือนกันเลย  ทั้งรูปร่างหน้าตา  ผิวพรรณ   ก็แปลกดี  ดูแล้วน่าจะมีพิมพ์พระเป็น
ร้อย ๆ พิมพ์

    ยังมีอีกกรุหนึ่งที่เรียกว่ากรุใหม่  คือกรุเขาดีสลัก  หลายคนก็ยังลังเลว่าเป็นพระจริงหรือพระยัดกรุ  แต่เนื้อหาก็เก่าดี  มีบางคนเอามาให้เช่า
องค์ละเป็นหมื่น  ตานำชัยเช่ามาเป็นกำองค์ละ  500  บาทสมัยนั้น  แต่วันนี้น่าจะเหลือสักองค์สององค์   เดี๋ยวจะลงให้ชม

    แล้วก็มาถึงพระเครื่อง..เรื่องขำ..ขำ  พระถ้ำเสือนี่น่าจะสร้างเยอะมาก  น่าสงสัยว่าสร้างไว้ทำอะไร  สร้างเมื่อไร  ใครสร้าง ทำไมต้องเก็บ
ไว้ในถ้ำ  ไม่มีใครให้คำตอบได้หรอก   อย่างดีก็แค่คำสันนิษฐาน  แม่พิมพ์ก็ไม่เห็น  มวลสารที่สร้างเอามาจากไหน ทำอย่างไรเนื้อพระจึง
แข็งเหมือนหิน  ทั้ง ๆ ที่ปั้นจากดิน  ไม่เหมือนพระที่มาจากถ้ำทางใต้  แถวยะลา  สุราษฎร์ธานี  จะเป็นพระดินดิบ  ยกขึ้นมาเปื่อยยุ่ยหมด

    คำสันนิษฐาน...บางคนบอกว่าน่าจะสร้างในสมัยทวาราวดี  ตั้งแต่ พ.ศ. 2220 โน้น  บางคนบอกว่าน่าจะสร้างสมัยอยุธยา  สมัยพระ
นารายณ์นี้เอง

    ในถ้ำแถวนั้นน่าจะเป็นชุมชนใหญ่  มีคนมาก  เลยช่วยกันทำ  แค่คนสองคนคงทำไม่ไหวหรอก  ตั้งเป็นพันปีมาแล้ว  ก็น่าจะสรุปว่า
คนที่เคยอาศัยอยู่ในถ้ำคงจะสร้างขึ้น  แต่สร้างขึ้นมาทำอะไร นี่น่าคิดนะ  คนสมัยนั้นคงจะยังไม่นิยมเล่นพระเครื่องดอกนา  เกจิอาจารย์
ที่จะปลุกเสก   ก็น่าจะยังไม่มี 

    จริงหรือแค่เรื่องขำ..ขำ    พอ ๆ  กับโควิท-19  มีรากเหง้ามาจากไหนนี่แหละ


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 05 เมษายน 2020, 09:20:53
      
              
                            

                            


                                                  พระสมเด็จวัดระฆัง   สร้างโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต  พรหมรังสี


      ฟังนิทานก่อน

          ในปี พ.ศ.2510  ประเทศไทยได้ส่งกองทหารอาสาสมัคร (จงอางศึก)  ไปร่วมรบกับทหารอเมริกัน  ที่ค่ายเบียร์แคต  ประเทศเวียดนามใต้  พระสมเด็จองค์นี้
ถูกมอบให้กับทหารคนหนึ่งที่ไปร่วมรบในครั้งนั้น    และกลับมาได้อย่างปลอดภัย  ประมาณปี 17-18    ตานำชัยก็ได้พระสมเด็จองค์นี้มาครอบครองต่อ

          เนื้อพระเดิมถูกทาทับด้วยอะไรสักอย่าง เหนียวมาก  ที่ฐานชั้นที่ 2-3  จะมีแผ่นทองคำเปลวปิดไว้  ยังมองเห็นร่องรอยอยู่

          พระองค๋นี้ถูกล้างขัดสี   เพื่อให้เห็นองค์พระชัดเจน  ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  แต่ก็ขัดออกไม่หมด  ยังเห็นลาง ๆ  ทำให้องค์พระมองแล้วยังทึบ ๆ อยู่

          ส่วนความเก่า  จากที่ผ่านมือมาถึงปัจจุบันก็  60  ปี  ก่อนจากนี้ไม่รู้เท่าไร

          ถ้าไปถามเซียนพระ   ก็ต้องบอกว่าเก๊แน่นอน   เพราะผิดพิมพ์


แต่พระองค์นี้ก็มีอะไรแปลก  ๆ   น่าศึกษาอยู่ไม่น้อย    มาดูกันต่อไป


                       (https://4upic.com/images/2020/04/08/algog7.jpg) (https://4upic.com/image/algog7)

                       (https://4upic.com/images/2020/04/08/algFRu.jpg) (https://4upic.com/image/algFRu)


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 05 เมษายน 2020, 10:24:21


         ก็ไม่มีอะไร...เพียงแต่ดูเล่นแบบขำ..ขำ

เผื่อมีคนรุ่นใหม่  อยากจะดูว่าพระเก่า ๆ จริง ๆ  ที่มีอายุเกือบ ๆ  100  ปี  จะมีลักษณะอย่างไร  ก็ดูได้

        จะเป็นพระแท้หรือพระไม่แท้    เมื่ออายุผ่านไปนาน ๆ   อะไร ๆ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน

         ไม่พูดถึงพิมพ์   พูดถึงเนื้อก่อน

    ข้างหน้า   ผิวพระมองด้วยตาจะออกคล้ำ ๆ เป็นสีเทา ส่องดูจะมีเนื้อสีขาวอมเหลือง   ในจุดที่ผิวพระหลุดลอก
เช่นที่แขนขวา   หรือที่ปลายของเส้นฐานรองนั่ง  ก็จะเห็นเนื้อพระที่ละเอียดอ่อน  มีสีแตกต่างออกไป
ที่มุมด้านบนติดกับกรอบล้อมองค์พระ   จะมีรอยผิวที่ตกตะกอนยับย่นอยู่เป็นหย่อม ๆ

    ด้านหลัง  ไม่มีแตกลายงา  จะมีเพียงบาง ๆ ในเนื้อ  สีดำ ๆ ที่เห็นเป็นหย่อม ๆ  
น่าจะเป็นรักเก่า  ขัดล้างไม่ออก  ซึ่งจะมีทาไว้ทั้งองค์  และติดแน่นอยู่ในรอยยุบรอยแยกหลังจากขัดแล้ว
จึงทำให้พระองค์นี้ไม่ขาวนวล  ออกไปทางเทา ๆ

       ด้านบนสุดทางขวามือจะเห็นรอยกาบหมาก  ต่ำลงมาทางด้านซ้ายมือ  จะเห็นรอย
เนื้อแตก  ยุบ  มองเห็นเป็นชั้น ๆ  มีเนื้อยุบและแยกที่มองเห็นเป็นสีดำ ๆ ทั่วแผ่นหลัง  จุดสีดำ ๆ เล็กบ้าง
ใหญ่บ้างที่กระจายอยู่กลางองค์พระ จะเป็นลักษณะของเนื้อพระอีกแบบหนึ่ง ที่แตกต่างจากเนื้อพระสีขาว
อมเหลืองที่เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อพระ  จุดสีดำ ๆ นี้  เมื่อตะแคงส่องให้กระทบกับแสงไฟ  จะมี
ประกายแสงสีเงินยวงผุดพราวขึ้นทุกจุด  พลิกตะแคงดูไปมาจะเห็นแสงสว่างนวลเต็มพรืดบนหลังพระ
สวยงามมากทีเดียว

    สิ่งที่แปลกอีกอย่าง  จะมีเนื้อพระยุบเป็นหลุมอยู่ที่ด้านหลังทางด้านขวามือ  ติดกับขอบ 1  หลุม  และ
ที่ขอบข้างอีก 2  หลุม  สิ่งที่อยู่ข้างในจะเป็นสีเหมือนดอกพิกุลแห้ง  จะเป็นกลีบดอกไม้หรือจะเป็นเศษ
เหล็กที่เป็นสนิม   มองไม่ชัด  แต่สังเกตดูดี ๆ แล้ว  ในหลุมยุบด้านหลังนั้นน่าจะเป็นเศษชิ้นส่วนของดิน
ที่แตกหักจากพระเครื่อง  ซึ่งนัยว่าเป็นเศษพระซุ้มกอ  ฝังตัวแน่นเป็นหลุมอยู่

    ส่วนมวลสารก็จะเม็ดแดง เม็ดดำ  เม็ดขาว  กระจายกันประปรายไม่หนาแน่น  โดยเฉพาะที่เป็นเม็ดแดง ๆ
เล็ก ๆ    ที่ส่องด้วยกล้องขยายสิบเท่าพอมองเห็นได้  กระจายอยู่ทั่วไปทั้งหน้าหลัง

ส่วนเรื่องพิมพ์

     มองก็รู้ผิดพิมพ์
วงแขนที่โค้งแปลก ๆ  ไม่เหมือนของชาวบ้านเขา  แต่หลัง ๆ นี  เขาบอกกันว่าพิมพ์พระสมเด็จมี
เป็นร้อย ๆ  พิมพ์  แต่ที่เซียนพระเขานิยมเล่นกัน  เป็นพิมพ์นิยมที่มีพระสวย ๆ  เขาจึงตั้งราคาแพง ๆ  แต่จริง ๆ  แล้วมีพระ
อีกมากมายหลายพิมพ์ที่เป็นพระแท้  แต่เขาไม่เล่นกัน  แล้วเขาตีตกเป็นพระปลอมไปหมด  ก็น่าคิดนะ    ถ้าเป็นแบบนี้พระ
สมเด็จที่แท้จริง ๆ คงอยู่ในมือชาวบ้านอีกมาก  พระองค์นี้อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้

    นี่คือข้อมูลคร่าว ๆ จากสมเด็จองค์นี้  ลงให้ดูว่าเป็นพระที่ขำ..ขำ  ก็แค่นั้น


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 06 เมษายน 2020, 08:43:46


    พระสมเด็จนี่ดูเหมือนจะเป็นพระที่มีปัญหามากจริง ๆ  การพิสูจน์พระจริงพระแท้   พระเก่าพระใหม่
หรือกระทั่งจำนวนที่สร้าง  ก็ไปกันคนละทิศละทาง  วงการก็แตกแยกเป็นสองฝ่ายสามฝ่าย  ไม่มีใคร
ยอมใคร  ของตนต้องเป็นพระแท้  ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นพระปลอม  

    นี่แหละคือเรื่องขำจริง ๆ   ในวงการพระสมเด็จ

    พระเครื่อง  จริง ๆ  แล้วก็แค่เรื่องขำ...ขำ

    นิยายเรื่องพระสมเด็จจึงผุดขึ้นมากมายหลายเรื่อง    แม้จนถึงปัจจุบนคนเขียนนิยายก็ผลิตกันขึ้นมา
ไม่หยุดหย่อน  จากนิยายเรื่องยายขำลากยาวมาจนถึงชื่อแปลก ๆ ใหม่ ๆ  ในปัจจุบัน

    จุดของปัญหามันมาจากการตลาด  การซื้อขาย  ตลอดจนถึงการปลุกปั่นราคาพระ  ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้
โลกของพระสมเด็จก็คงจะเงียบสงบ......เพราะพระพูดไม่ได้

    นึกกันแบบขำ ๆ   นิยายเรื่องยายขำนี่น่าจะมีจริงไหม  สมเด็จโตท่านทำพระแจก  ไม่ได้ขาย  ธุรกิจ
ขายพระสมัยนั้นเกิดขึ้นแล้วยัง  ต้องลองย้อนไปดู  จะเห็นว่าคนสมัยก่อนนิยมเล่นพระด้วยการแลกเปลี่ยน
กัน  ไม่มีการซื้อขายกัน  พระขายไม่ได้  ไม่มีแผงพระ  ไม่มีตลาดพระ  แล้วยายขำจะทำพระปลอมขึ้น
เพื่ออะไร  ทำเอาไว้แจกแข่งกับสมเด็จงั้นหรือ  แต่ถ้าธุรกิจขายพระเกิดขึ้นแล้ว  การบูมของพระสมเด็จ
เกิดขี้นแล้ว  การทำพระปลอมของยายขำก็สมเหตุสมผล

    แล้วอย่าลืมดูสภาพชุมชน   จำนวนประชากร  สภาพการคมนาคม สภาพเศรษฐกิจ  ในกรุงเทพ
สมัยนั้นประกอบด้วย

    ไม่ยืนยันว่าแนวคิดนี้จะถูก  ก็คงต้องใช้คำพูดที่หลายคนชอบพูด  "แล้วคุณเกิดทันหรือ"  ก็ถือ
ว่าเป็นการวิจารณ์นิยายเรื่องยายขำก็แล้วกัน

     ไปสืบเสาะกันให้ได้ว่า  ธุรกิจค้าขายพระเกิดขึ้นเมื่อไร  การบูมพระสมเด็จให้ดัง  เริ่่มขึ้นมาตั้งแต่
เมื่อไร  แล้วจะรู้เองว่าการผลิตพระปลอม  เริ่มขึ้นก่อนธุรกิจขายพระ  หรือหลังธุรกิจขายพระ

     ก็แค่ขำ..ขำเท่านั้น    อย่าเป็นจริงเป็นจังกับมัน


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 07 เมษายน 2020, 16:31:59
      (https://4upic.com/images/2020/04/07/al3kLl.jpg) (https://4upic.com/image/al3kLl)

      (https://4upic.com/images/2020/04/07/al3y9e.jpg) (https://4upic.com/image/al3y9e)

         พระสมเด็จพิมพ์พิลึกกึกกือ


  ความเป็นมาหรือจะเรียกว่านิทานก็ยังไหว

        ประมาณปี  2500  ปลาย ๆ  น่าจะ 2508-2509  จังหวัดยะลายังเป้นจังหวัดเล็ก ๆ  ชุมชนในตัวจังหวัดยังไม่หนาแน่น
รถมอเตอร์ไซด์คันเล็ก ๆ  50 ซีซี.  พอจะเริ่มมีใช้กันแล้ว  บริเวณรอบ  ๆ  ตัวเมืองยะลา  จะล้อมรอบด้วยสวนยางพาราเป็นส่วนใหญ่
ถนนรอบตัวเมืองก็จะเป็นถนนดิน  บางแห่งก็เป็นลูกรัง

        วันหนึ่งเพื่อนของผู้เขียนได้ออกไปนอกเมือง  เกิดอาการอยากจะถ่ายเบาขึ้นมา  เลยแวะไปยืนถ่ายเบาที่โคนต้นยางพารา
ตาก็เหลือบไปเห็นที่โคนต้นยางพารามีกระป๋องใบหนึ่งวางซุกอยู่   เป็นกระป๋องที่ซุกไว้นานแล้ว  เกรอะไปด้วยดินโคลน
ด้วยความสงสัยจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู    ก็พบว่าในนั้นมีพระพิมพ์สมเด็จอยู่จำนวนหนึ่ง   แต่จะสักกี่องค์จำไม่ได้แล้ว

        และวันที่ผู้เขียนไปเยี่ยมที่บ้าน เพื่อนก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง   และหยิบพระสมเด็จมาให้ดู   เป็นพระพิมพ์ที่ลงรูปให้ดนี่แหละ
สัก 5-6  องค์  ดูแล้วก็วิจารณ์กันไปพลาง หัวเราะกันไปพลาง  เพราะเป็นพิมพ์พระที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต  พิมพ์แปลก ๆ
พระหัวโต ๆ  สรุปไม่มีใครสนใจ    เพียงแต่ฉงนว่าพระนี้มาอยู่ใต้ต้นยางพาราได้อย่างไร  ห่างไกลบ้านคน  แถวนั้นมีมุสลิม
อาศัยอยู่ทั้งนั้น  เมื่อหาคำตอบไม่ได้ทุกอย่างก็จบ  ผู้เขียนก็ได้แต่ขอพระมาดูขำ ๆ  องค์หนึ่งเท่านั้น

       ได้พระมาแล้วก็เก็บไว้  นาน ๆ หยิบมาดูทีหนึ่ง   ขำ ๆ แล้วก็วางไว้  เวลาผ่านไป  พระองค์นี้มาอยู่ในความครอบครอง
50  กว่าปีแล้ว

       เลยนำมาเผยแพร่ให้ชมกันเป็นครั้งแรก   พระอะไรก็ไม่รู้   ดูขำ....ขำ


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: pornsak11 ที่ 07 เมษายน 2020, 16:34:41
 *k<//* *tx, r@>


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 07 เมษายน 2020, 17:25:58


ต่อพระสมเด็จพิมพ์พิลึกกึกกือ


    พระเนื้อผงสมัยโน้นทางภาคใต้เขาไม่ค่อยนิยมสร้างกัน   ส่วนใหญ่จะเป็นพระเนื้อว่าน
และพระเนื้อดินทั้งนั้น    พระองค์นี้จึงค่อนข้างแปลก  และจะต้องเป็นพระที่สร้างที่ภาคกลาง
แต่จะเดินทางไปซุกอยู่ใต้ต้นยางพาราได้อย่างไร    ก็น่าฉงนอยู่

    วันนี้   เมื่อนำพระองค์นี้มาดู  จริง ๆ แล้วก็จะเห็นว่าเป็นพระที่สวยงาม  ทั้งพิมพ์ทรง
เนื้อหา  ความเก่า  เนื้อที่หนึกนุ่มเป็นมัน   ออกเหลืองแก่ผสมสีชมพูบาง ๆ   ด้านหน้ามีรอย
แตกลายงาอยู่นิด ๆ   ส่วนด้านหลังเรียบ  พื้นผิวพระตะปุ่มตะป่ำเหมือนจะมีเนื้องอก และเนื้อยุบ
มีก้อนขาว ๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างที่ผสมในเนื้อพระ  มีลักษณะเหมือนจะไม่ประสานเป็นเนื้อ
เดียวกัน  จึงโผล่ออกมาให้เห็นเป็นก้อน ๆ  น่าจะเป็นผงพุทธคุณอะไรสักอย่าง

    หรือจะเป็นพระสมเด็จอกครุฑเศียรบาตรวัดระมัง  ของสมเด็จโต  ลักษณะเนื้อหาและพิมพ์
คล้ายของวัดระฆัง  แต่วัดระฆังจะมีพระพิมพ์นี้หรือไม่ก็ไม่รู้

    หรืออีกอย่างหนึ่ง  คือพระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์  พระพิมพ์นี้จะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้

    เรื่องของพระสมเด็จลึกลับมาตลอดกาล  เพราะมีคนรอบรู้มาก  แต่รู้ไม่จริง  เรามักยึดตำราของ
ตรียัมปวาย  แต่ก็เชื่อได้อย่างไรว่าตรียัมปวายเขียนจากข้อเท็จจริง  ไม่ใช่การคาดเดา  หรือคาด
ว่าน่าจะเป็น  แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าพระเก๊นั่นมีแน่นอน   ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 ที่ได้พระสมเด็จมาแรก ๆ
(ตอนนี้หายหมดแล้ว)  คนก็พูดกันแล้วว่าน่าจะเป็นพระเก๊  จะเริ่มเก๊ตั้งแต่เมื่อไร  ก็ศึกษากันต่อไป
คนที่มีอายุ  90-95  ปี  น่าพอตอบคำถามนี้ได้บ้าง

    ก็ให้ดูกันพอขำ..ขำ

    


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 09 เมษายน 2020, 11:18:06


                                   (https://4upic.com/images/2020/04/09/alcPdC.jpg) (https://4upic.com/image/alcPdC)


                           พระลาวตกรถ    พระที่ขำยิ่งกว่าขำ...ขำ

      ก็น่าจะประมาณตั้งแต่ปี พ.ศ.2500  มาโน้นแหละ  ที่เราจะเริ่มรู้จักพระลาวตกรถ  (ใครตั้งชื่อก็ไม่รู้)
เดิมแรกเมื่อเราไปนั่งกินอาหารในร้านอาหาร  ก็จะมีผู้หญิงแต่งตัวโทรม ๆ เสื้อผ้าสกปรก  หน้าตามอมแมม
สีหน้าแววตามีท่าทางเศร้าสร้อย  จะอุ้มลูกมาคนหนึ่ง  แล้วก็จูงมาคนหนึ่ง  เข้ามายื่นพวงพระ  หรือถุงใส่พระ
ให้เราดู  บอกว่าเดินทางมาแล้วหมดเงิน  ไม่มีเงินซื้อข้าว   ไม่มีเงินเสียค่ารถ  เลยต้องเอาพระที่ติดตัวมา
ปล่อยในราคาถูก ๆ

     พอเราหยิบพระมาดู   โอโอ้...ตะลึงเลยเชียวละ  เนื้อพระนี่เก่ามีสนิม มีคราบกรุจับเขลอะ  กรอบที่ใส่
พระก็หลุดร่อน  พระบางองค์ถักด้วยลวดมัดล้อมองค์พระไว้  ลวดก็เก่าเป็นสนิม  หลายคนเห็นเข้ารีบควักตัง
จ่ายเลยละ  ราคาก็ไม่แพง สัก 20-30 บาทประมาณนี้  (สมัยโน้นก็ถือว่าเยอะนะ)  ดีอกดีใจที่ได้ของดีมาใช้
ในราคาไม่แพง  รีบนำมาอวดกันที่บ้าน

     พอเจอกับเพื่อน   จ๊ะเอ๋...ต่างคนต่างมีกันคนละพวง  ชักใจแฟบ  วันหลัง ๆ ไปกินข้าวที่ร้านเจออีก  คราวนี้
เป็นผู้ชาย  มาในลักษณะเดียวกัน    พระก็คล้าย ๆ กัน  เอ๊ะ  จะตกรถอะไรกันนักหนานี่

     กว่าจะรู้ว่าเป็นกระบวนการ  โดนกันไปหลายต่อหลายคน  สมัยโน้นมันไม่มีสื่อ  จะศึกษาเรื่องพระก็ไต่ถาม
กันไปมา  ได้พระใหม่มาสักองค์ก็ต้อง "แห่" ไปถามคนโน้น คนนี้  ดีหรือไม่ดี  แท้หรือไม่แท้  เจอคนดีก็รอด
ตัวไป  เจอคนไม่ดีก็จะบอกว่านี่เป็นพระปลอม  เขาสร้างใหม่ขึ้นมา (ความจริงเป็นพระแท้) เจ้าของพระก็ใจหาย
เชื่อว่าเป็นความจริง   แล้วคนดูพระก็จะเล่านิทานอะไรต่อมิอะไรจนเราเคลิบเคลิ้ม  สุดท้ายก็จะบอกว่า

      "นี่พี่สงสารน้องนะ   อยากจะให้มีพระดี ๆ ไว้ใช้  ของพี่มีองค์หนึ่ง  พระดีพระแท้  ให้น้องไปใช้  องค์นี่
พระปลอมแลกกับของพี่ก็ได้"

       สุดท้ายเสร็จเซียน   เอาพระดีไปแลกกับพระเก๊  เซียนพระแบบนี้มีจริง ๆ    และมากด้วย

       พระลาวตกรถ  หากินได้อยู่หลายปี   และเชื่อได้ว่าทุก ๆ บ้าน   ที่นิยมพระเครื่อง   ก็มักจะมีพระตกรถ
ติดอยู่ในบ้าน

       บางครั้งเมียไปกินข้าว   เจอพระพวกนี้เข้า  รู้ว่าสามีชอบเล่นพระ   ก็ซื้อหามาฝาก  อย่างนี้ก็มี  สามี
เห็นแล้วก็พูดไม่ออก   กลัวเมียจะเสียใจ  ก็ได้แต่แอบซุกพระทั้งพวงไว้เงียบ ๆ บนหิ้งพระ


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: pornsak11 ที่ 09 เมษายน 2020, 13:03:09
 #llj.k R,F._iY R,F._iY


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 10 เมษายน 2020, 09:32:14
         (https://4upic.com/images/2020/04/10/alpqC7.jpg) (https://4upic.com/image/alpqC7)

         (https://4upic.com/images/2020/04/10/alpAzu.jpg) (https://4upic.com/image/alpAzu)


        พระสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์  หลวงปู่โต๊ะ  วัดประดู่ฉิมพลี   สร้างปี  2518  
         ปลุกเสก  5  ไตรมาส

      เรื่องนี้เกิดขึ้นน่าจะประมาณปี พ.ศ. 2529-2530  สมัยนั้นพระหลวงปู่โต๊ะยังไม่ดังเปรี้ยงปร้าง  ยังมีคนรู้จักน้อย  มีการลงโฆษณาขายพระ
ทางหนังสือพิมพ์ลานโพธิ์ค่อนข้างถี่   ผู้เขียนพร้อมเพื่อนสี่ห้าคนที่นิยมชมชอบพระเครื่องก็มีแผนเดินทางไปที่วัดนี้  โหนรถเมล์กันไป  ไล่กันไป
ตั้งแต่วัดโพธินิมิตร (หลวงพ่อฑูรย์)  แล้วไปวัดปากน้ำ  ลงรถเมลย์แล้วเดินเข้าไป  ดูวัดปากน้ำเสร็จก็ไปวัดประดู่ฉิมพลี  มีทางทะลุถึงกัน เดินข้าม
คลองชลประทาน  ประตูน้ำชลประทาน  (ถ้าจำไม่ผิด  เพราะนานมากแล้ว)  แล้วก็เข้าถึงวัดประดู่ฉิมพลี

       เข้าไปในวัดก็จะมีที่ให้เช่าบูชาพระเครื่องอยู่ทางซ้ายมือ   เป็นศาลาหรืออะไรสักอย่าง  ต้องเดินขึ้นบันไดไปสี่ห้าขั้น  ชะเง้อดูก็มีคนเช่าบูชา
อยู่สัก 4 ถึง 5 คน  มีพระมากมายหลายพิมพ์วางใส่ถาดเรียงรายให้เลือกเช่าหาบูชา  ทั้งเป็นองค์  ทั้งเป็นกล่อง  บางส่วนก็มีรอยคราบปลวกกัดกิน
ผู้เขียนก็เลือกเช่ามามากมายหลายพิมพ์  สักประมาณ  30  องค์ได้  ส่วนใหญ่จะเลือกพระที่เป็นองค์เล็ก  เพราะไม่ชอบพระองค์ใหญ่ ๆ เพราะหนัก
เหมือนที่เคยปล่อยพระหลวงพ่อทวดรุ่นเตารีดใหญ่ไปหมด  ไม่เก็บ  เก็ยแต่เฉพาะเตารีดเล็กอย่างเดียว  เพื่อนที่ไปด้วยเขาเช่าพระปิดตาจัมโบ้
เนื้อเกสร   ผู้เขียนจะเช่าพระปิดตารุ่นปลดหนี้   เพื่อนเขาเช่ารูปเหมือนหลวงปู่โต๊ะพิมพ์ใหญ่   ผู้เขียนจะเช่าพิมพ์เล็ก

       หลังจากนั้นสี่ห้าปี   มีการบูมหลวงปู่โต๊ะขึ้น    ปรากฏว่าที่มีราคาเป็นหมื่น ๆ  ล้วนเป็นพิมพ์ใหญ่   พิมพ์จัมโบ้  ที่พิมพ์เล็ก ๆ  แค่หลักร้อย
หลักพัน   เพื่อนที่ไปด้วยกันหัวเราะชอบใจกันใหญ่

       ตลอดเวลาที่เลือกเช่าพระก็มีคนเวียนขึ้นเวียนลงอยู่เรื่อย ๆ  หลัง ๆ นี้ก็น่าจะมีคนเป็นสิบ ๆ คน    เช่าพระกันเสร็จก็ชวนกันกลับ  พอลงมาถึง
ขั้นล่างสุด  ที่วางรองเท้าไว้   ปรากฏว่ารองเท้าของเพื่อนที่ไปด้วยกันหายไปแล้ว  มีคนเจตนาเอาไป  หรือใส่ผิดไปไม่อาจทราบได้  คราวนี้ละได้เรื่อง
ทำยังไงดีละ    จะเดินโดยไม่ใส่รองเท้าก็คงจะไม่ไหว  เพราะกว่าจะถึงที่จอดรถเมล์ตั้งไกล

       มองซ้ายมองขวา  เพื่อนก็เลยบอกว่าเสี่ยงดวง  คนเอาของเราไป  เราก็ต้องเอาของคนอื่นบ้าง  พอปลอดคนก็ตัดสินใจใส่รองเท้าคู่หนึ่งที่พอดีเท้า
(รองเท้าแตะ) โกยออกจากวัดเร็วจี๋  ออกมาหอบอยู่นอกวัด  พร้อมหันไปบอกว่า  "ขอโทษนะ  ไม่ได้ลักขโมย  แต่ทำเพราะความจำเป็น  รองเท้าไหน
ที่เหลืออยู่  ก็ใส่ไปเถอะ"

       ยังนึกไม่ออกตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้  ว่าคนที่กลับออกมาแล้วรองเท้าหายจะทำอย่างไร

       พระที่เช่ามาก็เอาแจกจ่ายคนโน้นคนนี้   เหลือเก็บไว้ไม่กี่องค์    เก็บไว้ที่บ้าน  สุดท้ายก็มาโดนคนที่แฝงตัวว่าเป็นช่าง  แอบหยิบไปเสียหลายองค์
ที่พอนึกออกก็มีพระปิดตาปลดหนี้  พระศิวลี  พระพิมพ์กลีบบัว ฯลฯ   เดี่ยวนี้พระเหล่านี้ก็มีราคาหลายตังอยู่

       พระองค์ที่โชว์นี่ใส่ตลับ ใส่สร้อยไว้   จึงอยู่ยงมาจนถึงวันนี้

       เรื่องขำ ๆ   เกี่ยวกับการไปเช่าพระหลวงปู่โต๊ะ ก็มีแค่นี้   เล่าไว้เป็นเรื่องขำ...ขำเท่านั้น

      ปัจจุบันพระองค์นี้ราคาหลายพันแล้วนะ   อาจจะถึง 7-8  พัน  หรือกว่านี้   ถ้าเซียนพระขายให้เรา  แต่ถ้าเราไปขายให้เซียนพระนี่
น่าจะได้แค่ 2-3  พัน  คนธรรมดาเข้าไปขายพระนี่  เซียนจะกดราคาต่ำที่สุด  ถ้าเราไม่ขาย  ก็อย่าหวังว่าจะขายได้ที่อื่นอีก  เพราะเซียน
เขาจะถึงกันหมด  เขาจะวางยาคนไปขายพระ  จนสุดท้ายก็ต้องขายให้เขาราคาถูก ๆ อยู่ดี

       เซียนพระก็จะเป็นแบบนี้   ทั้งเซียนที่แลกเปลี่ยนพระ   ทั้งเซียนซื้อขายพระ  ตานำชัยไม่คบหากับเซียนพระมานมนานหลายสิบปีแล้ว
เพราะสาเหตุนี้  สังคมพระเครื่องเป็นสังคมคนกินนคนที่โหดร้ายที่สุด  ใครไม่เก่งจริงอยู่ยากมาก


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 13 เมษายน 2020, 13:22:13
                             (https://4upic.com/images/2020/04/13/aqjocT.jpg) (https://4upic.com/image/aqjocT)


                           โควิดระบาด   อย่าลืมสวมใส่หน้ากากอนามัย

         พระองค์นี้เป็นพระที่แปลกที่สุดในบรรดาพระที่สะสมมา   นอกจากจะแปลกที่สวมใส่หน้ากากกันโรคโควิด
เหมือนกับจะรู้ล่วงหน้าว่า  สักวันหนึ่งประเทศไทยจะเจอกับโรคนี้  จึงเตือนภัยไว้ล่วงหน้า (จริง ๆ เพิ่งสังเกตเห็น
ตอนถ่ายรูปนี้แหละ)พระองค์นี้ยังมีเนื้อหาที่แปลก   เนื้อขาวใสเหมือนงาช้าง  สวยงามมาก ทั้งยังแข็งเหมือนหิน  
แข็งมาก  เอาเล็บขูดนี่ไม่มีความรู้สึกเลย

         อายุอานามก็น่าจะเก่า เพราะอยู่กับตานำชัยมาก็ 50  กว่าปีแล้ว  ยังจำได้ตอนมาใหม่ ๆ  ก็เป็นพระเนื้อผงธรรมดา
แต่เวลาผ่านไปมาดูอีกที    แข็งเป็นหินสีงาช้างแล้ว

        ด้านหลังจะมีรอยยุบเป็นหลุม ๆ   ทุกรอยยุบจะมีก้อนมวลสารลอยเด่นอยู่  แผ่นหลังเรียบแข็ง  ส่วนจะเป็นพระที่ไหน
ยังไม่ค่อยชัด  แต่พิมพ์ทรงคล้าย ๆ ของวัดสะพานสูงบางแคพิมพ์หนึ่ง  แต่ก็ไม่ใช่ของวัดนี้

        พระองค์นี้น่าจะเป็นพระที่พกติดตัวป้องกันโรคโควิดได้

        ก็ลงให้ให้ดูแค่ขำ...ขำ



หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 17 เมษายน 2020, 10:48:38
  


                                        (https://4upic.com/images/2020/04/17/aqPfTr.jpg) (https://4upic.com/image/aqPfTr)

                                        (https://4upic.com/images/2020/04/17/aqPjsQ.jpg) (https://4upic.com/image/aqPjsQ)

         ตำนาน.....ความเชื่อ......ความจริง...และความศรัทธา

         ตาขุนลก   ผู้พาหลวงปู่ทวดไปบวชที่วัดท่าแพ  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 17 เมษายน 2020, 11:02:55


       พระขุนลกปรากฏในประวัติหลวงพ่อทวดคือ ท่านพร้อมด้วยญาติพี่น้องรับเป็นเจ้าภาพอุปถัมป์บวชหลวงพ่อทวด

ใครจะไปรู้เบื้องหลังเจ้าภาพการบวชครั้งใหญ่ของพระมหาโพธิสัตว์อย่างหลวงพ่อทวดคือคนจีน
ใครจะไปรู้ นอกจากเเฟนพันธุ์เเท้เท่านั้น


ความเป็นมาระหว่างหลวงปู่ทวดกับตาขุนลก


        ในหนังสือเทศาภิบาล 3-4 ร.ศ. 126 (พ.ศ. 2450) ซึ่งเป็นสำเนาหนังสือครั้งกรุงเก่าว่าด้วยการพระราชทานกัลปนา
ยอเข้าตำราหมื่นตราพระธรรมวิลาศเอาไปวิวาทเป็นหัวเมือง กล่าวถึงหลวงปู่ทวดไว้ว่า ท่านเกิดในปี พ.ศ. 2171
(บางแห่งว่า พ.ศ. 2125 ซึ่งน่าจะถูกต้องกว่า) เมื่อบวชเณรเรียนจบการศึกษาธรรมบททศชาติที่บ้านเกิดแล้วก็ได้เดินทาง
มาเล่าเรียนพระ ธรรมวินัยชั้นสูงที่วัดเสมา เมืองนครศรีธรรมราชกับพระครูกาเดิม และเมื่ออายุได้ 20 ปี พระขุนลก
(ตาขุนลก ซึ่งเป็นขุนนางแห่งเมืองนครในขณะนั้น) พร้อมญาติพี่น้องจึงรับเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์การอุปสมบท
ตามประเพณีด้วยวิธีอุททกสีมา (ผูกด้วยเรือมาดตะเคียนมาดพะยอมและมาดยาง) โดยมีพระมหาเถรปิยทสุสี
เป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ พระมหาเถรพุทธสาครเป็นกรรมวาจาย์และพระมหาเถรศรีรัตนเป็นอนุคู่สวด

          จะเห็นได้ว่าผู้ทำพิธีอุปสมบทนั้นล้วนเป็นพระเถระชั้นสูงและยังมีเจ้านายชั้นสูงของเมืองนคร
เป็นผู้อุปถัมภ์เมื่อศึกษาพระธรรมวินัย จนจบหลักสูตรแล้ว ท่านประสงค์จะศึกษาพระธรรมชั้นสูงขึ้นไปอีก
พระครูกาเดิมแห่งวัดเสมาเมืองจึงได้ฝากโดยสารเรือกับนายอินเดินทางเข้ากรุงศรีอยุธยา
เมื่อหลวงปู่ทวดลาพระครูกาเดิมแล้วก็ได้ไปลาเจ้าอาวาสวัดท่าแพ ซึ่งอาจจะเป็นพระเถระในคณะอุปสมบท
ที่คลองท่าแพ (คลองปากพูน) ใน ครั้งนั้นแล้วเดินทางมาขึ้นเรือไปราชธานีครั้งนี้ ในระหว่างทาง
ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านได้สมญานามว่า " เหยียบน้ำทะเลจืด"

(ดูอนันต์ คณานุรักษ์, ประวัติหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด (ยะลา; ห้าแยกการพิมพ์ 2534))


...ข้อความนี้คัดลอกมาจากเว็บพลังจิต  ขอขอบคุณเจ้าของบทความ....


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 17 เมษายน 2020, 11:06:18


ประวัติตาขุนลก
             

    ท่านเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนที่ได้เข้ามารับราชการในเมืองนครในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมัยกรุงศรีอยุธยา มีหน้าที่เกี่ยวกับนา
ตำแหน่งสูงสุดที่ปรากฏใน พ.ศ. 2191 มีบรรดาศักดิ์เป็นพระหรือออกพระ นับถือศาสนาพุทธ มีบ้านพักอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านวัดสพ
เป็นบริเวณที่ตั้งบ้านเรือนของข้าราชการกรมนาของเมืองนคร ท่านมีส่วนในการพัฒนาการทำนาของชาวนา
จนเป็นที่เคารพนับถือของชาวนครทั่วไป ท่านเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2206 หลุมศพของตาขุนลก ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 บ้านมะม่วงสองต้น
อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช


   ชื่อเต็มของตาขุนลกตามศิลาหน้าหลุมศพว่า “ยี่กุน” เป็นชื่อจีนดั้งเดิมของท่านซึ่ง อีกชื่อหนึ่งซึ่งเป้นชื่อรองที่ชาวจีนส่วนใหญ่
มักนิยมเรียกคือ “ลก”  มีความหมายว่ามั่งคั่งด้วยสมบัติและบริวาร คำว่าขุนเป็นตำแหน่งทางศักดินาที่ท่านรับราชการในเมืองนครศรีธรรมราช
และยังพ้องกับชื่อของท่านด้วย


      ชื่อของท่านจึงได้เรียกขานกันว่า “ขุนลก” ส่วนคำว่า “ตา” นำหน้าชื่อ “ขุนลก” นั้นเป็นคำสรรพนามที่คนใต้ใช้เรียกผู้เฒ่าสูงอายุ
ในทำนองเดียวกับคำว่า ปู่ ทวด เจ้า อุ้ย ชื่อพระขุนลกปรากฏในประวัติหลวงพ่อทวดคือ ท่านพร้อมด้วยญาติพี่น้องรับเป็นเจ้าภาพ
อุปถัมป์บวชหลวงพ่อทวด


 
     ชาวฮกเกี้ยนเป็นจีนกลุ่มแรกที่ได้อพยพเข่ามาตั้งหลักแหล่งในเมืองนคร ซึ่งมีหลักฐานที่เด่นชัด ก็มีมาตั้งอยู่สมัยอยุธยา
บริเวณที่มีชาวจีนฮกเกี้ยนอาศัยอยู่นอกจากท่าตีน-ท่าวัง ก็มีที่ตำบลพระเสื้อเมือง และตำบลนา (ปัจจุบันรวมเป็นตำบลในเมือง)
ชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในภาคใต้ของไทยมีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมของท้องถิ่นอยู่ไม่น้อย เช่น
ในด้านการเกษตร การทำนา คนจีนเป็นผู้นำจอบเข้ามาใช้เรียกว่า จอบหัวหมู


 ความเชื่อ



     ชาวนา ชาวบ้าน ไม่ว่า ไทย พุทธ จีน อิสลาม ในบริเวณทุ่งปรัง มีความเชื่อและปฏิบัติต่อตาขุนลกสืบต่อกันมาจนเป็นประเพณี
ตั้งแต่สมัยโบราณกล่าวคือ ในฤดูทำนาตอนพักเที่ยงวัน ชาวนาที่นำอาหารกลางวันมา ก่อนที่จะกินจะแบ่ง

ข้าวหยิบหนึ่งกับข้าวขนาดปลายช้อนวางลงบนใบไม้หรือใบตอง แล้วเอ่ยชื่อตาขุนลกให้วิญญาณของท่านมารับแล้วจึงจะกิน
ชาวทุ่งปรังนับถือและปฏิบัติต่อตาขุนลกเสมอมา

      แต่ในปัจจุบัน ความเจริญทางด้านวัตถุบ้านที่อยู่อาศัยได้รุกเข้าสมทบไปในเขตที่เคยเป็นทุ่งนาทุกที การทำนาก็มีน้อยลงไปตามลำดับ
ความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับตาขุนลกก็ลดน้อยถอยลง จนชาวเมืองนครส่วนใหญ่ไม่รู้จักตาขุนลกกันแล้ว คงเหลือแต่ความเชื่อ
ของคนบางกลุ่มที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณเช่นกัน

       องค์การบริการส่วนตำบลมะม่วงสองต้นเล็งเห็นถึงความสำคัญของโบราณสถานและโบราณวัตถุที่จะรำลึกถึงคุณความดีของตาขุนลก
จึงคิดจะปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของตำบลมะม่วงสองต้นสืบไป



แนะนำของเก่า

       จอบหัวหมู
เป็นจอบชนิดหนึ่งที่จีนมีใช้มาร่วมพันกว่าปีแล้ว ใบจอบหนา ฐานขอบเรียกเป็นเส้นตรงคล้ายจอบธรรมดา
แต่มีขนาดสั้นกว่า ช่องใส่ด้ามจอบต่างกับจอบงธรรมดาที่มีช่องใส่อยู่ด้านบนในแนวตั้ง (ลักษณะเดียวกับเสียม)
ด้ามจอบจะเป็นไม้ชิ้นเดียว ส่วนปลายที่ติดกับใบจอบจะโค้งงอเป็นมุมฉากลักษณะเช่นนี้เหมาะสมกับการใช้งานแต่งคันนา
ขุด หรือพรวนดินในนาที่มีน้ำขัง น้ำจะไม่กระเซ็นใส่ผู้ใช้ และยังช่วยผ่อนแรงในการใช้ดีกว่าคันจอบธรรมดา
จีนเรียกจอบชนิดนี้ว่า เปาะ


        ปัจจุบันมีการทำนาด้วยแรงคนน้อยลง จึงมีการใช้จอบกันน้อยลง


หมายเหตุ   บทความทั้งหมดข้างบนนี้   ตัดทอนมาจากบทความขององค์การบริหาร
ส่วนตำบลมะม่วงสองต้น  อำเภอเมือง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  อ้างอิงมาเพื่อเผยแพร่
ความเชื่อและศรัทธาต่อตาขุนลกให้ก้ว้างขวางออกไป  ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้




หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 17 เมษายน 2020, 12:09:58


       ตำนาน....คือเรื่องเล่าขานที่มีมาแต่อดีต   เปรียบได้เหมือนเครืองมือที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราว
ทางประวัติศาสตร์  ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต  ความคิด  ความเชื่อ  
รวมถึงประเพณีต่าง ๆ ของคนในยุคอดีต อาจเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ได้  อาจมีหลักฐานหรือ
ไม่มีก็ได้


      ศรัทธา....ความเชื่อ  ความเลื่อมใส  ความเห็นชอบ

     ตำนานก็คือการเล่าขานกันมา  การศึกษาเรื่องของตำนาน   ก็ต้องอาศัยวิจารณญานส่วนตัวเข้าไป
ประกอบด้วย  อย่างหลวงพ่อทวด  วัดช้างให้  จังหวัดปัตตานี  เรื่องจริง ๆ  ก็เป็แค่ตำนานที่ไม่มีบันทึก
มีแตเรื่องเล่าจากไหนก็ไม่รู้  แต่เมื่อเอาความศรัทธามาเป็นที่ตั้ง   ทุกคนก็เชื่อไปตามคำเล่าขานนั้น

     จะเห็นว่าหลังจากหลวงพ่อทวดวัดช้างให้โด่งดังขึ้น  ก็จะมีใครต่อใครพยายามลากโยงตำนาน
หลวงพ่อทวดเข้าหาตนเอง   จะมีจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้  แต่เพื่อผลประโยชน์ในการที่จะจัดสร้างพระ
หลวงพ่อทวดขึ้น  จึงพยายามโยงให้เข้าหาหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ให้ได้

     มองดี ๆ  หลวงพ่อทวดวัดช้างให้กับวัดพะโค๊ะ  จะเป็นองค์เดียวกันหรือไม่  ไม่มีใครรู้เพราะเป็น
ตำนาน  แต่ที่แปลกคือไม่เหมือนกัน  วัดพะโคะจะมีลูกแก้ว  แต่วัดช้างให้ไม่มี  วัดพะโค๊ะหลวงพ่อทวด
มีชื่อว่า "ปู"  แต่วัดช้างให้ไม่มีชื่อ  ใช้ชื่อว่าหลวงพ่อทวด  ("หลวงพ่อ" คือคำเรียกเกจิอาจารย์ทุกองค์
ในภาคใต้  "ทวด" น่าจะหมายถึงคนแก่  หลวงพ่อทวด  น่าจะหมายถึงหลวงพ่อองค์ที่แก่ ๆ) ตำนาน
บอกว่าหลวงปู่ทวดวัดพะโคะ  อยู่ ๆ หายตัวไปไร้ร่องรอย  แต่วัดช้างให้มีที่ฝังศพ  มีสถูปเจดีย์
ที่สันนิษฐานว่าเป็นที่ฝังศพหลวงพ่อทวด

     วัดพะโคะเล่าขานตำนานหลังจากหลวงพ่อทวดวัดช้างให้มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว  ยืนยันว่าหลวงพ่อ
พะโคะมีตำนานจริง  รวมถึงโยงไปถึงการบวชครั้งแรกที่วัดท่าแพ นครศรีธรรมราช  หรือจำพรรษา
ที่วัดเสมาเมือง  ก็เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาทั้งสิ้น

     และตาขุนลกคือผู้ที่พาหลวงพ่อทวดไปบวชที่วัดท่าแพ  ก็เป็นแคตำนาน

     ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อ    เพราะตำนานจริง ๆ  ความจริงจะมีสักกี่เปอร์เซ็น   ส่วนมากจะแต่งเติม
ให้อลังการผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเกือบทั้งสิ้น

    ก็คุยเล่นแค่ขำ..ขำ  ในวันที่โควิดยังเป็นแขกมาเยี่ยมเยียนอยู่  อย่าคิดเห็นเป็นเรื่องจริงจัง


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 19 เมษายน 2020, 09:34:50


                                     (https://4upic.com/images/2020/04/19/aqNyp2.jpg) (https://4upic.com/image/aqNyp2)


                      หลวงปู่แหวน สุจิณโณ    พระดีที่ถูกทำให้ลืม


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 19 เมษายน 2020, 09:54:09


ประวัติหลวงปู่แหวน  สุจิณโณ

         ตามประวัติเล่าว่า ท่านเกิดในตระกูลของช่างตีเหล็ก โดยเป็นบุตรของนายใส กับ นางแก้ว รามศิริ มีน้องสาวร่วมบิดา- มารดาอีกหนึ่งคนคือ
นางเบ็ง ราชอักษร และบิดามารดาของท่านได้ ตั้งชื่อว่า “ญาณ” ซึ่งแปลว่า ปรีชา กำหนดรู้
 
        พอท่านมีอายุ ได้ประมาณ 5 ขวบเศษ โยมมารดาของท่านก็ล้มป่วย อาการหนักจนรู้ตัวว่าคงจะไม่รอด ท่านจึงได้สั่งเสียบุตรชาย หรือ
หลวงปู่แหวน ให้เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งพระพุทธศาสนาด้วยการบวช โดยตามตำราเล่าว่า โยมมารดากล่าวกับบุตรชายว่า
 
       “ลูกเอ๋ย...แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใดๆ ในโลกนี้ล้วน กี่โกฎก็ตามแม่ไม่ยินดี แม่จะยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง
ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียนะ”
 
         และช่างน่าอัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่แหวนในวัยเพียง 5 ขวบในวันนั้น ได้พยักหน้ารับคำเท่านั้น ดวงวิญญาณของโยมแม่ทก็ออกจากร่างไป
 
         และยิ่งอัศจรรย์มากขึ้นไปอีก เมื่อหลังจากนั้นอีกไม่นาน ยายของหลวงปู่แหวน ได้เกิดฝันประหลาดว่าจนต้องนำเอาความฝัน
มาเล่าสู่ลูกหลานและหลวงปู่แหวนฟังในวันรุ่งขึ้น      
  
         โดยความฝันนั้นมีว่า ได้ฝันว่าหลวงปู่แหวนไปนอนอยู่ในดงขมิ้น จนกระทั่งเนื้อตัวเหลืองอร่ามไปหมด ยายจึงกล่าวกับหลายชายว่า
เจ้านี้จะมีอุปนิสัยวาสนาในทางบวช ฉะนั้นยายขอให้เจ้าบวชตลอดชีวิต และขอให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียเจ้าจะทำได้ไหม
 
     ในที่สุดช่วงปี พ.ศ. 2439 ขณะหลวงปู่แหวนมีอายุได้ 9 ขวบ คุณยายจึงได้ตระเตรียมเครี่องบริขาร จนครบเรียบร้อยแล้ว
จึงได้พาเด็กชายทั้งสองเข้าถวายตัวต่อพระอุปัชฌาย์ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า เข้าพรรษาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์ชัย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นเด็กชาย
“ญาณ” เป็นสามเณร “แหวน” นับแต่นั้นมา
 
       หลังบรรพชาเป็นสามเณรไม่นาน พระอาจารย์อ้วน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน ได้พาสามเณรน้อยไปฝากฝังถวายเป็นศิษย์ของท่าน
“พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม” (บางแหล่งระบุว่าเป็น พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล  เพราะหลวงปู่แหวนเกิด 16 มกราคม 2430
ส่วนพระอาจารย์สิงห์เกิด 27 มกราคม 2432 พระอาจารย์สิงห์อ่อนกว่าหลวงปู่แหวน 2 ปี) ณ วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี
 
       และเป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่พระอาจารย์อ้วนกำลังพาสามเณรน้อย เดินฝ่าเปลวแดดสีทองมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณวัดในยามบ่ายนั้น
พระอาจารย์สิงห์ขนัง ศิษย์สำคัญสูงสุดของพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน คือ “พระมั่น ภูริทัตโต” กำลังมองที่ร่างสามเณรน้อย
พลันก็บังเกิดฤทธิ์อำนาจ แห่งอภิญญาณ ทำให้ท่านเห็นรัศมีเป็นแสงสว่างโอภาส เปล่งประกายออกมาจากร่างของสามเณรน้อยผู้นี้
เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาเกิด ดั้งนั้นพระอาจารย์สิงห์ จึงได้ถ่ายทอดความรู้ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติทั้งหมดให้
 
        ต่อมาช่วงปี พ.ศ. 2464 หลวงปู่แหวนได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาธรรมกับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
กระทั่งปี พ.ศ. 2478 ได้เข้าพบ ท่านเจ้า คุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากมหานิกายเป็น ธรรมยุติ
และได้รับฉายาว่า สุจิณโณ
 
      จากนั้นได้ออกจาริกแสวงบุญต่อ ขณะที่ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์มั่นฯ ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ จังหวัดอุบลราชธานี มีศิษย์พระอาจารย์มั่นฯ
ที่มีอัธยาศัย ที่ตรงกัน 2 ท่านคือ พระขาว อนาลโย และ พระตื้อ อจลธัมโม เช่นเดียวกับคราวที่ จากท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ก็ได้
พระขาว จาริกแสวงธรรมเป็นเพื่อนจนถึงเมืองหลวงพระบาง
 
        ปีพ.ศ. 2489 หลวงปู่แหวนจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง ในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นแผลที่ขาอักเสบต้องผ่าตัด
โดยมีพระหนู สุจิตโต ซึ่งเดินทางมาจากดอยแม่ปั๋งพยายามอยู่ใกล้ๆ เมื่อครบ 7 วัน ต้องกลับไปดอยแม่ปั๋ง เพราะอยู่ระหว่างพรรษา
จนกระทั่งเดือนเมษายนในปีต่อมา อาการอาพาธจึงดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายสนิทยังเดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้ นับแต่นั้นมาพระหนูได้พยายามอยู่ใกล้ๆ
เพื่อดูแลหลวงปู่แหวน
 
          ต่อมาพระหนูได้ดำริว่า ปัจจุบันหลวงปู่แหวนมีอายุมากแล้ว ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ด้วย เพื่อเป็นอุปัฏฐาก ถ้านิมนต์มาอยู่ที่ดอยแม่ปั๋ง
ก็จะได้ถวายการดูแลได้โดยง่ายไม่ต้องไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเป็นเพียงความคิดของพระหนูเท่านั้น เพราะในเวลาดังกล่าว
ดอยแม่ปั๋งยังไม่มีอะไรพร้อมแม้แต่กุฏิก็ยังไม่มี
 
      ปี พ.ศ. 2505 ขณะที่หลวงปู่แหวนมีอายุ 75 ปี คืนวันหนึ่งพระหนูนั่งภาวนาอยู่เกิดเป็นเสียงหลวงปู่แหวนดังขึ้นมาที่หูว่า
จะมาอยู่ด้วยคนนะ หลังจากวันที่ได้ยินเสียงหลวงปู่แหวนอีกสามวัน พระอาจารย์หนูได้ถูกนิมนต์ไปที่วัดบ้านปงสถานที่ที่หลวงปู่แหวนอยู่
และถือโอกาสนิมนต์หลวงปู่แหวนมาที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย
 
      เมื่อหลวงปู่แหวนได้มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ครั้งแรกท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง การมาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนี้
ท่านได้มีข้อตกลงกับพระอาจารย์หนูว่า หน้าที่ต่างๆ และกิจทุกอย่างที่มีขึ้นในวัด ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารย์หนูแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนท่านจะอยู่ในฐานะพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรม จะไม่มีภาระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้นหลวงปู่แหวนจะไม่รับนิมนต์โดยเด็ดขาด
แม้ที่สุดถึงจะเกิดอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ท่านไม่ยอมนอนรักษาที่โรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ก็จะให้สิ้น
ไปในป่าอันเป็นที่อยู่ ตามอริยโคตรอริยวงศ์ ซึ่งบูรพาจารย์ท่านเคยปฏิบัติมาแล้วในกาลก่อน
 
      นับตั้งแต่หลวงปู่แหวนได้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นเลย เพราะอากาศทางภาคเหนือสัปปายะสำหรับท่าน
หลวงปู่แหวนได้มรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2528 สิริอายุ 98 ปี
 
       สำหรับคำสอนที่สำคัญ เช่น อดีตก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ
เป็นธัมโม ปัจจุบันก็พอแล้ว อดีต และอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย วัน คืน เดือน ปี สิ้นไป หมดไป อายุเราก็หมดไป สิ้นไป
หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนาต่อไป
 
       ส่วนเรื่องเล่าถึงการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญของหลวงปู่แหวน ที่หลายคนเล่าขาน คือเรื่องที่ว่ากันว่า “หลวงปู่แหวนเหาะได้”!
 
      โดยย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2516 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ทหารอากาศนายหนึ่งกำลังนำเครื่องบินออกบินตามหน้าที่ปกติ
วันนั้นเป็นวันที่ทัศนวิสัยดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แม้จะมีเมฆ แต่นักบินก็สามารถเห็นท้องฟ้าเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน
เขาบังคับเครื่องบินไปตามเส้นทางปกติ ซึ่งเป็นแนวบินที่พาดผ่านเหนือวัดดอยแม่ปั๋ง
 
       ทันใดนั้นเอง เขาต้องตกตะลึง เพราะเบื้องหน้าของตนนั้นปรากฏพระชรารูปหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ขวางเส้นทางการบินอยู่  
แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาจึงบิดคันบังคับหลบไปในทันที  เครื่องบินโฉบผ่านพระรูปนั้นไปอย่างฉิวเฉียด
 
        หลังจากตั้งสติได้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ จึงตัดสินใจขับเครื่องบินย้อนกลับมาอีกครั้ง และนั่นทำให้เขายิ่งตกใจซ้ำสอง
เพราะพระชรารูปนั้นยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนก้อนเมฆเหมือนเดิม  แต่คราวนี้เขาพยายามรักษาระยะห่างของเครื่องเอาไว้ เฝ้ามองพระชรารูปนั้นค่อยๆ
หายลับไปในหมู่เมฆ ...
 
         เมื่อนำเครื่องลงจอด เขารีบเข้าไปกราบนมัสการเจ้าคณะเชียงใหม่ ถามท่านว่า ที่เชียงใหม่มีพระองค์ไหนที่แสดงปาฏิหาริย์ได้  
ท่านเจ้าคณะบอกว่า เห็นมีอยู่องค์หนึ่งคือ "หลวงปู่แหวน" วัดดอยแม่ปั๋ง
 
         ทันทีที่ทราบ เขาจึงรีบตรงไปที่วัดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา  เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่า มีผู้คนมากมายมารอพบหลวงปู่แหวนเต็มไปหมด  
ปกติแล้ว หลวงปู่แหวนจะไม่ยอมออกมาพบปะใครง่ายๆ ด้วยความที่ท่านเป็นพระที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนตามอุปนิสัยเดิม  
ท่านจะออกมาจากห้องก็เฉพาะเวลาฉันเช้าและเจริญพระพุทธมนต์เท่านั้น
 
          นายทหารคนนี้ไปถึงวัดในตอนเช้า เหลือเชื่อว่าเป็นเวลาที่หลวงปู่แหวนออกจากห้องมาฉันเช้าพอดี ...
และเมื่อเห็นท่าน นายทหารก็ถึงกับตกตะลึงซ้ำสาม เพราะหลวงปู่แหวนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือพระชราที่เขาเห็นนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั่นเอง!!
 
          และนี่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวปาฏิหาริย์ ที่คนไทยยังคงเล่าขานมาจนทุกวันนี้

...ข้อความทั้งหมดนี้คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ คม-ชัด-ลึก...  ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้



หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 19 เมษายน 2020, 10:22:59



    ตั้งแต่ปี  2500  เป็นต้นมา  วงการพระเครื่องได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก   พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ
เกิดขึ้นมากมาย ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ก็ไม่รู้  การจัดสร้างพระเครื่องก็เปลี่ยนแนวไป  จากเดิมที่วัดจะจัด
สร้างเพื่อหาเงินบูรณวัด   ก็จะกลายเป็นนักธุรกิจขายพระมาดำเนินการแทน  โดยจัดสร้างขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
ส่วนหนี่งแบ่งให้วัด  อีกส่วนหนึ่งจะนำไปบูมโดยการโฆษณาอิทธิฤทธิปาฎิหารของพระเกจิที่จัดสร้าง
เพื่อให้พระที่จัดสร้างขึ้นมีราคาสูง  และจำหน่ายได้ดี

    ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัด 1 ส่วน  ผู้จัดสร้าง  3  ส่วน เพราะผู้สร้างต้องลงทุนสูงด้วยตัวเองทั้งหมด

    เป้าหมายของนักสร้างพระเครื่องสมัยนั้น  ก็จะเล็งหาพระในวัดที่มีอายุมาก ๆ  80 ปีขึ้นไป  ถึง 100 ปี
ก็ยิ่งดี  แล้วก็ดำเนินการให้พระองค์นั้นมีวิทยาคมสูงส่ง  สร้างชื่อเสียงให้เกิดขึ้น  มีลูกศิษย์ลูกหา  และ
ส่วนใหญ่พระเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเกจิอาจารย์ที่โด่งดังไปโดยปริยาย

    แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ ปี  หรือเกจิอาจารย์รูปนั้นดับขันธ์ไปแล้ว  ก็จะถูกลืมเลือนไปอย่างเหลือเชื่อ
แม้แต่วัตถุมงคลที่เคยโด่งดังก็จะไม่ค่อยมีคนเสาะหา  ราคาก็ต่ำ   บางองค์ต่ำกว่าตอนที่สร้างใหม่ ๆ ก็มี

    หลวงปู่แหวน  สุจิณโณ  จะเป็นพระอีกองค์ที่อยู่ในวงจรนี้หรือไม่  ไม่อาจคาดเดา


    นี่คือเรื่องขำ ๆ  ในวงการพระเครื่องอีกเรื่องหนึ่ง


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 19 เมษายน 2020, 11:06:37


        ในช่วงปี   2510 ปลาย ๆ  ช่วงนั้นหลวงปู่แหวนน่าจะมีอายุประมาณ  80  ปี 
หรือเกือบ 90  ปีแล้วละ  เป็นช่วงที่มีการกล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่แหวนกันหนาหู  
เรื่องกล่าวขานปาฎิหารย์ถูกสร้างขึ้น  และเล่าขานกันไม่หยุดหย่อน  ใครต่อใครจะต้องเล่าขาน
เรื่องหลวงปู่แหวน  ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่วัดดอยแม่ปั๋ง  จังหวัดเชียงใหม่

        วัตถุมงคลของหลวงปู่แหวนถูกสร้างขึ้นจนนับรุ่นไม่ได้   หาชื่อรุ่นมาตั้งกันจนเกือบหาชื่อรุ่นไม่ได้
สมัยนั้นเกือบจะเรียกได้ว่า  พระหลวงปู่แหวนออกวันละ 2  รุ่น  เช้า 1 รุ่น  เย็น  1  รุ่น  โฆษณาตาม
หนังสือพระและหนังสือพิมพ์เกลื่อนเมือง

         เท่านั้นยังไม่พอ  รุ่นไหนที่ทำท่าว่าจะดัง  มีคนนิยม   ก็จะมีพระปลอมผลิตออกมาแข่งขันใน
ทันทีเช่นกัน  ทำให้จำนวนพระในตลาดเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก

         หลวงปู่แหวนท่านอายุมากแล้ว  ท่านไม่ค่อยออกมารับแขก  แต่เมื่อมีผู้ขอให้ท่านช่วยปลุกเสก
พระให้   ท่านก็จะทำให้  ทั้ง ๆ ที่ท่านเคยพูดว่า  ท่านปลุกเสกพระไม่เป็น  แต่ลูกศิษย์ลูกหาก็ยังขอให้ท่าน
ทำ  การปลุกเสกของท่านจึงไม่เหมือนเกจิองค์อื่น ๆ  ท่านจะใช้เวลา 2-3  นาที ก็เสร็จแล้วในแต่ละครั้ง

         มีผู้บอกว่าที่ท่านปลุกเสกพระเสร็จเร็ว เพราะท่านมีฌานบารมีสูง  เพียง 2-3  นาทีก็ทำให้พระเครื่อง
มีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ทันที

         ที่ขำ ๆ กว่า  ก็ตรงที่มีคนนินทากันว่า   พระที่สร้างขึ้นแต่ละรุ่น  หลวงปู่แหวนไม่ได้ทำการปลุกเสกให้
เพราะจำนวนคนที่สร้างมากเกิน  หลวงปู่ก็แก่มากแล้ว  หลายคนได้แค่นำพระไปข้างกุฎิของท่าน  ก็ถือ
ว่าปลุกเสกเสร็จแล้ว   นำมาโฆษณาจำหน่ายได้เลย  จริงไม่จริงไม่ได้เห็นกับตา

        แตที่แน่ ๆ  หลังจากหลวงปู่แหวนมรณภาพไปแล้ว  คนที่เล่นหาพระเครื่องหลวงปู่แหวนก็หดหาย
ตามไปด้วย  หลายคนเข็ดขยาดในการเช่าบูชา  อย่างที่ว่าหลายรุ่นไม่ได้ปลุกเสก  รุ่นที่ได้ปลุกเสก  ก็จะ
มีของปลอมออกมาแข่งขัน  คนเล่นพระรับมือไม่ไหว  ก็รามือไป  ราคาพระหลวงปู่แหวนก็คงยากที่จะบูมขึ้น

        ที่หนักกว่านั้   หลังจากหลวงปู่แหวนสิ้นบุญไป 2-3  ปี  พระรูปเหมือนบูชา  ที่มีผู้นำไปจำหน่าย
หรือเช่ามาจากแผงพระ   จะถูกนำออกจากบ้านทุกหลัง  ไปฝากไว้ใต้ต้นโพธิ์ ต้นไทร  เจดีย์ ฯลฯ  ในวัด
วาอารามต่าง ๆ  มีให้เห็นทุกวัด  ทิ้งขว้าง แตกหัก ผุพัง  ไร้คนกราบไหว้บูชา  ปล่อยให้หมาแมวไปอึใส่
เยี่ยวใส่  นกกาขี้ใส่เปรอะเปื้อน

     ส่วนเหตุผลใดที่ต้องเอาพระบูชาหลวงปู่แหวนมาทิ้งไว้ที่วัด   ตรงนี้ผู้เขียนไม่ทราบจริง ๆ

        เห็นแล้วอนาถใจ....

       นี่คือพระดี....ที่ถูกคนทำให้ลืม

        ก็เล่าให้ฟังแค่ขำ...ขำ   ในวันที่โควิท-19  ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านเรา


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 22 เมษายน 2020, 12:45:49

                                          (https://4upic.com/images/2020/04/22/aqYRp7.jpg) (https://4upic.com/image/aqYRp7)

                                 โควิด  เจ้าตัวร้าย.........แต่ก็พ่ายหัวนอโม

      หัวนะโม  หรือหัวนอโม     ประดับไว้บนแหวน  เป็นหัวนะโมรุ่นเก่า   แต่อาจจะไม่โบราณ  แต่ก็นานพอสมควร

หัวบนเป็นเนื้อเงินยวงเก่าแน่นอน  ใต้หัวนะโมเป็นรอยบากยาว    ตัวเรือนเป็นทองเหลือง    ส่วนหัวนะโมล่าง  เป็นเนื้อเงินหรือไม่   ไม่แน่ใจ
ใต้หัวนะโมเป็นยันต์อุ  น่าจะสร้างโดยเกจิอาจารย์รุ่นก่อน  ส่วนตัวเรือนเป็นนาค

      จะมีมานานเท่าไรไม่รู้    แต่หยิบมาประดับเรือนแหวนก็เลย  60  ปีไปแล้วละ  ติดตัวมาตั้งแต่รุ่นหนุมกะทง  มาหลัง ๆ  ต้องเลิกใช้เพราะ
คับนิ้ว  จะรื้อทำใหม่ก็เสียดายศิลปรุ่นเก่า  เลยเก็บไว้เป็นที่ระลึก


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 22 เมษายน 2020, 13:17:09


     หัวนะโม    เครื่องรางของขลังของชาวจังหวันครศรีธรรมราช    ซึ่งสืบสานตำนาน
แห่งอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์  แสดงอิทธิฤทธิ์ปราบโรคระบาดที่ร้ายแรงให้เห็นมาแล้ว
หลายครั้ง

     มาวันนี้   เมื่อโควิดมาเยือน   หัวนะโมก็จะต้องสำแดงเดชปกปักษ์รักษาประชาราษฏร์
ทั่วพื้นแผ่นดินไทยให้สยบราบคาบลงอีกครั้งหนึ่ง

     บันทึกตรงนี้ไว้กันลืมก่อน

     22 เมษายน  2563     ผู่ป่วยด้วยโรคโควิด

             ทั้งโลก  2,555,751    คน
             ตาย        177,459    คน

     ประเทศที่คนเป็นโรคนี้มากที่สุด

             อเมริกา    818,744    คน
             ตาย          45,318    คน

     ประเทศไทย

             ติดเชื้อ         2,826   คน
             ตาย                 49   คน

เพราะการร่วมมือร่วมใจของประชาชนคนไทย  แพทย์ไทย  รัฐบาลไทย
โควิดจะร้ายแค่ไหน  ก็แพ้พ่ายอยู่ดี

      ส่วนกำลังใจที่แข็งแกร่ง  แรงเสริมจากหัวนะโม   ก็อาจจะแสดงพลังปาฏิหารย์
สร้างพลังใจให้กับปวงชน  ให้พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อย่างไม่ท้อถอย

      และหมอแต่ละท่าน   ก็มีหัวนะโมที่มอบให้มาเสริมแรงกันทุกท่าน

อะไรคือหัวนะโม....ก็ติดตามกันต่อไป


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 22 เมษายน 2020, 13:34:38


ผู้ใหญ่เยิ้ม เรืองดิษฐ์ มอบหัวนอโม 30,000 หัว ผ่านพ่อเมืองนครศรีธรรมราช ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เพื่อมอบเป็นขวัญกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ


    แหล่งที่มา : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช
    วันที่ข่าว : 1 เมษายน 2563

        วันนี้ (1 เม.ย.63) ที่ห้องปฏิบัติงานผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นางเยิ้ม เรืองดิษฐ์ หรือผู้ใหญ่เยิ้ม
เจ้าของพิพิธภัณฑ์หาดทรายแก้ว ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ในนามลูกหลานชาวศรีวิชัยนครศรีธรรมราช
และคณะ ได้มอบหัวนอโม รุ่นนะกันภัย จำนวน 30,000 หัว ผ่านนายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช
เพื่อส่งมอบต่อให้นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำไปแจกจ่ายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ
เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลทั่วประเทศ
เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานป้องกันและรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19


      นางเยิ้ม เรืองดิษฐ์ กล่าวว่า หัวนอโม หรือหัวนะโม รุ่นนะกันภัย ทำจากโลหะเงินยวง แช่ว่านยา บรรจุพระเวทกันภัย
จัดสร้างด้วยศาสตร์แห่งพิธีกรรมหัวนอโมอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภัยให้กับประชาชน ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์นาน
6 ชั่วโมง ณ วังโบราณลานสกา อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2563 ซึ่งตามประวัติโบราณเมื่อ
700 ปีก่อน มีความเชื่อว่าได้มีการสร้างหัวนะโม มาเป็นส่วนหนึ่งในการปัดเป่าโรคร้าย โรคห่า โรคอหิวา ที่มีการระบาดใน
จังหวัดนครศรีธรรมราชให้หายไป ส่วนการจัดสร้างหัวนอโม รุ่น นะกันภัย ในครั้งนี้ เพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากร
ทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 22 เมษายน 2020, 13:45:17

ภูมิภาค

วัดแทบแตก! แห่บูชาแหวนหัวนะโม วัดดังเมืองคอนป้องกันโรคโควิด19
วันพฤหัสบดี ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563, 21.57 น.
   
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
 
        วันที่ 12 มี.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ วัดเขาพระทอง ต.เขาพระทอง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
มีชาวบ้านทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช และต่างจังหวัด รวมทั้งนักท่องเที่ยว แห่เดินทางมาเช่าบูชาหัวนะโม
และแหวนหัวนะโม หลังมีความเชื่อว่าแหวนหัวนะโม ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย คุณไสย มนต์ดำ และป้องกันโรคร้าย
ไวรัสโควิด – 19 เหมือนเช่นในอดีตที่หัวนะโมถูกนำมาใช้ปัดเป่าโรคห่า โรคอหิวา คุ้มครองให้ประชาชนชาว
จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้รอดปลอดภัย ทำให้บรรยากาศที่วัดเขาพระทองตลอดทั้งวัน มีชาวบ้านเดินทางมา
เช่าบูชาแหวนหัวนะโมกันอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่เดินทางกันมาเป็นครอบครัวและหมู่คณะ ขณะที่ทางวัดเขาพระทอง
มีการจัดเตรียมสถานที่ พร้อมกับบัตรคิวเช่าบูชาแหวนหัวนะโม เพื่ออำนวยความสะดวก

         พระมหาอารยะนันท์  อนันโท เจ้าอาวาสวัดเขาพระทอง เปิดเผยว่า แหวนหัวนะโม และหัวนะโม
ทางวัดจัดสร้างขึ้นเป็นรุ่นแรก เพื่อต้องการนำรายได้สมทบทุนสร้างโบสถ์หลังใหม่ของวัด ซึ่งแหวนหัวนะโม
และหัวนะโมรุ่นแรกของวัด มีขั้นตอนการจัดสร้าง รวมทั้งการประกอบปลุกเสกตามพิธีโบราณทุกประการ
ส่วนที่ชาวบ้านเชื่อว่าป้องกันไวรัสโควิด - 19 นั้น ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามหัวนะโม
ตามประวัติโบราณเมื่อ 700 ปีก่อน มีการนำหัวนะโมมาเป็นส่วนหนึ่งในการปัดเป่าโรคร้าย โรคห่า
โรคอหิวา ที่มีการระบาดในจังหวัดนครศรีธรรมราชให้หายไป   

สำหรับประวัติ “ หัวนะโม ” ถือเป็นเครื่องรางของขลังที่ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช รู้จักกันดี
และมีความเชื่อมายาวนานนับกว่า 700 ปีแล้ว โดยมีการเล่ากันว่า ราวก่อนพุทธศตวรรษที่ 18
หัวนะโมคือเม็ดโลหะที่เป็นเบี้ยใช้แทนเงินตราไว้แลกเปลี่ยนสินค้าในอาณาจักรตามพรลิงค์
(นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน) และที่เรียกว่า หัวนะโม เนื่องจากมีลักษณะเป็นเม็ดกลม
และมีอักษรปัลลวะหรืออักษรอินเดียโบราณจารึกไว้ ในอดีตอาณาจักรตามพรลิงค์
(นครศรีธรรมราชในปัจจุบัน) เกิดโรคห่าหรืออหิวาตกโรค ระบาด พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
กษัตริย์แห่งอาณาจักตามพรลิงค์จึงทรงทำพิธีปลุกเสกหัวนะโมขึ้นด้วยพิธีกรรมแบบพราหมณ์
โดยอัญเชิญเทพเจ้าทั้งสามคือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม มาสถิตในหัวนะโม
เป็นอักขระแทนองค์เทพเจ้าทั้งสามองค์ แล้วนำหัวนะโมไปหว่านไว้รอบเมือง
และหว่านสถานที่เกิดโรคระบาด ปรากฏว่าโรคห่าได้หายไปจากอาณาจักรนครศรีธรรมราช

     นอกจากนี้ในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดโรคห่าระบาดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราช
พระองค์จึงมีรับสั่งให้สร้างหัวนะโมขึ้น แล้วประจุผงพระพุทธคุณอันวิเศษที่สำเร็จขึ้น
จากพระอาจารย์ผู้มีกฤตยาคมสูงลงในหัวนะโมนั้น แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำหัวนะโม
ไปหว่านโปรยรอบเมืองนครศรีธรรมชาติ ต่อมาโรคห่าก็หาย ทำให้ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช
เชื่อกันว่า “หัวนะโม” คือของมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์ที่รู้จักและมีไว้เป็นมงคลประจำตัว
เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่า หัวนะโม
มีพุทธคุณครอบจักรวาล คือ ด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และป้องกันภัยแคล้วคลาด
และนิยมติดตัวไว้ ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนหัวนะโม เป็นแหวน สร้อยคอ สร้อยข้อมือ
ต่างหู เพื่อง่ายในการสวมใส่



หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: sutep123 ที่ 22 เมษายน 2020, 13:59:08
 *k<//* *k<//* r@>


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 23 เมษายน 2020, 09:38:36


             ที่ไม่มีจะให้มี......ที่มีจะให้ไม่มี

ก็แค่พระเครื่อง...เรื่องขำ-ขำ

         บอกก่อน  เขียนให้อ่านเพลิน ๆ   ช่วงโกวิด-19  เท่านั้น  ไม่มีข้อมูลอ้างอิง  ไม่มีหลักวิชาการ
อาศัยแต่ประสบการณ์ที่เคยพบ  เคยเห็นมาเท่านั้น   อาจจะเหมือนใคร  หรือไม่เหมือนใคร
ไม่ยืนยันว่าถูกหรือผิด...คิดเอาเอง

หลวงปู่ทวดวัดช้างให้  รุ่นทะเลซุง  ปี  2508   มีหรือไม่มี

ถ้าบอกว่า..ไม่มี  ไม่เคยพบ  ไม่เคยเห็น  กลุ่มที่เล่นรุ่นทะเลซุง  ก่นกันตรึมแน่
น่าจะเหมือน ๆ  กับ  สมเด็จวัดพระแก้ว  สมเด็จวังหน้า  ที่ถึงวันนี้ยังไม่มีใครยอมใคร

พระเครื่อง  เรืองขำ..ขำ  มันจึงอยู่ตรงนี้แหละ

      ตั้งแต่ปี   2505  ถึงปี 2540  ผู้เขียนอยู่ในท้องที่จังหวัดยะลา  เดินขึ้นเดินลงวัดช้างให้จนบันไดเป็นเทือก
ย่ำแผงพระในตัวเมืองยะลา  เหมือนไปจ่ายตลาดสด

      บอกตรง ๆ  ไม่เคยเห็นพระพิมพ์นี้เลย  ไม่ว่าที่ไหน   นี่ถือว่าเป็จุดบกพร่องที่ไม่น่าให้อภัย

      พายุเกย์  เกิดเมื่อปี   2532   หลวงปู่ทวดสร้างปี  2508  มาตั้งชื่อตามพายุเกย์ว่า "รุ่นทะเลซุง"
ห่างกันหลายปีเหลือเกิน    ก่อนนี้ไปอยู่ไหนมา

      หลวงปู่ทวด   สร้างปี  2508  แล้วบอกว่าอาจารย์ทิมแจกให้คนโน้น  คนนี้  ในรอบ  10  ปี  พระองค์นี้
ไม่โผล่ออกมาให้เห็นบ้างหรือ

      ประสบการณ์จริง ๆ ....หลวงปู่ทวดรุ่นทะเลซุง  พิมพ์หลังเจดีย์  มีหูในตัว  ด้านหน้ามีรูปหลวงปู่ทวดถือ
ลูกแก้ว  รูปหลวงพ่อทวดถือลูกแก้วนี่  เป็นของวัดพะโคะเขา   แล้วรูปเจดีย์นี่ก็น่าจะเป็นเจดีย์โบราณของวัด
พะโคะมากกว่าจะเป็นเจดีย์วัดช้างให้
 
      และในปี  2508  คนภาคใต้เขามักจะเรียกชื่อว่าหลวงพ่อทวด    หลวงปู่ทวดนี่  เป็นคำเรียกของคนภาคกลาง  
จนถึงบัดนี้จะเห็นว่าพระที่ออกจากวัดช้างให้ยังเรียกหลวงพ่อทวด  แต่แถวภาคกลางเขาเรียกหลวงปู่ทวด

      และชื่อหลวงพ่อทวดนี้   ก็เป็นชื่อที่หลวงพ่อทวดบอกกับท่านอ.ทิมว่า  พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้   ให้เรียกชื่อว่า
"หลวงพ่อทวด"

      เคยแซวเล่นกับหลวงพ่อทวดว่า  " แหม  ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ภาคกลางนี้   แก่ขึ้นเยอะนะ  จากหลวงพ่อมาเป็น
หลวงปู่แล้ว"   หลวงพ่อทวดท่านคงจะนึกขำอยู่เหมือนกัน  ท่านคงจะบ่นว่า "ทะลึ่งจริงนะลูกคนนี้"

      แต่แถววัดพะโคะเขาก็เรียกหลวงปู่ทวดนะ   เพราะสมเด็จเจ้าพะโคะ  เดิมชื่อว่า "ปู"

      สรุปแล้วพายุเกย์ก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป   อย่างน้อยก็ได้มีพระรุ่นทะเลซุง ไว้ปกป้องกันภัย

      อย่าเอาเป็นเรื่องจริงจัง...เพราะมีคนเขาพูดไว้ว่า  "สิ่งที่เห็นว่าไม่มี   ไม่ใช่จะไม่มี"




                     (https://4upic.com/images/2020/04/25/aqiST7.jpg) (https://4upic.com/image/aqiST7)


                     (https://4upic.com/images/2020/04/25/aqiasu.jpg) (https://4upic.com/image/aqiasu)

            หลวงปู่ทวด  พิมพ์ก้ามปู    เป็นพิมพ์หนึ่งของหลวงปู่ทวดรุ่นทะเลซุง


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 24 เมษายน 2020, 07:48:15
                                              (https://4upic.com/images/2020/04/24/aq8L5o.jpg) (https://4upic.com/image/aq8L5o)


                    หลวงพ่อทวดวัดช้างให้  หลังตัวหนังสือ ปี  2524
                                  กฤตยานุภาพเกินบรรยาย





ไม่เคยเจอหน้ากันมาตั้งเกือบ  40  ปี   อยู่ ๆ โผล่พรวดขึ้นมา  ใคร ๆ ก็ต้องตกใจ  !!!!!!!

นี่ก็เป็นพระเครื่อง  เรื่องขำ..ขำ  อีกเรืองหนึ่ง

ฟังและคิดอย่างมีสติ  ใช้วิจารณญานและเหตุผลในการคิด

นี่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เรื่อง  สำหรับผู้ที่เคารพและศรัทธาหลวงพ่อทวดวัดช้างให้  จังหวัดปัตตานี


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 24 เมษายน 2020, 08:39:23


     เมื่อ 2-3  ปีที่แล้ว  เกิดไปอ่านเจอในเว็บไซด์   เรื่องของพระเครื่องเนื้อโลหะ
พิมพ์ตัวหนังสือ  สร้างปี  2524  ในลักษณะว่ามีการสร้างขึ้นจริงหรือไม่  บางคนบอกว่า
รุ่นนี้วัดไม่มีการสร้าง  มีคนสร้างขึ้นมาภายหลังแล้วเอามาหลอกขายว่าเป็นของวัด บางคน
ก็บอกว่า  มีจริง  วัดสร้างพระรุ่นนี้ขึ้นมา   สุดท้ายก็เถียงกันไม่ตกขอบ

     ฝ่ายที่ว่าพระรุ่นนี้วัดไม่ได้สร้างน่าจะชนะ     เพราะเห็นสมาคมพระเครื่องประกาศยกเลิก
ไม่ให้มีการรับพระรุ่นนี้เข้าประกวด  จะด้วยเหตุผลใดไม่แน่ชัด

     ก็นั่งงงอยู่เหมือนกัน  เพราะเท่าที่จำได้  เคยเช่าบูชาแต่พระเนื้อว่านปี  2524 กับ
พระเหรียญต่าง ๆ  ของปี 2522  (พระเนื้อว่านก็สร้างปี 2522 เช่นกัน)

     พระโลหะหลังตัวหนังสือนี่โผล่มาได้ยังไง  

     วันนั้นนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่รู้   อยากจะดูพระขึ้นมา  จึงลุกไปหยิบกล่องใส่พระ
กล่องใหญ่ที่มีพระและเหรียญต่าง ๆ  เก็บแบบสุม ๆ  กันไว้ในกล่องสูงเต็มกล่อง
เป็นร้อย ๆ องค์แหละว่างั้น

     กล่องนี้มักจะเก็บพระที่ได้มาใหม่ ๆ ที่ไม่มีกล่องใส่  สารพัดหลวงพ่อที่ไปเช่ามาจากวัด
ใครไปใครมาอยากได้พระก็จะหยิบจากในกล่องนี้ให้ไป  พระในกล่องนี้จึงไม่เคยเต็ม  
เพราะมักจะมีออกมากกว่าเข้า  พระในกล่องนี้จึงถูกรื้อเข้ารื้ออกบ่อยที่สุดในรอบหลายสิบปี

    ได้กล่องเก็บพระมาแล้ว  เปิดฝาออกมือก็ควานรื้อดูพระที่กองสุมอยู่ในกล่อง  นิ้วไปแตะ
กับองค์พระโลหะหนัก ๆ องค์หนึ่งที่อยู่ก้นกล่อง  ด้วยความสงสัยจึงหยิบขึ้นมาดู

   แล้วก็ต้องตกตะลึง   รู้สึกชาไปชั่วครู่   เพราะพระองค์นั้นคือหลวงพ่อทวดเนื้อโลหะ
ปี 2524  เหมือนกับรูปภาพในเว็บไซด์ที่เปิดดู    และกำลังเป็นปัญหาอยู่ (องค์ที่ลงภาพ
ให้ดู)  เป็นไปได้ยังไง  พระมาจากไหน


    ก็มานั่งคิดตรึกตรองย้อนหลังดู  พระองค์นี้ไม่ได้มาจากไหนหรอก  เช่ามาเองเมื่อปี
2526-2527  โน้นแหละ  แต่ก็ลืม...ลืมมา  30  กว่าปี  แม้พระองค์นี้จะอยู่ก้นกล่อง
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  ไม่เคยควานพบพระองค์นี้ที่ก้นกล่องเลย

    เหมือนกับว่าพระองค์นี้ไม่เคยมีตัวตน


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 24 เมษายน 2020, 09:09:08


      ในช่วงปี 2522-2530   พระของวัดช้างให้ออกมาหลายรุ่น  มีรุ่นปี  2522
2524  และรุ่น รศ.200  พระประจำวัด  และรุ่นอื่น ๆ อีก  จึงมีพระหลากหลายมาก

      ยังพอจำได้ว่า  เคยไปเช่าพระที่วัดช้างให้   แล้วเห็นพระ 2524  องค์นี้อยู่ในพาน
หยิบขึ้นมาดูพร้อมนึกในใจว่า   "พระอะไรไม่รู้  สร้างรูปร่างแปลก ๆ ไม่เหมือนกับที่เคยสร้าง
ครั้งก่อน ๆ เลย  ไม่สวย"  ก็วางกลับที่เดิม  รู้สึกหลายครั้งที่ไป   เห็นพระองค์นี้แล้วเมิน
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า  เช่าเก็บไว้สักองค์ดีกว่า  เป็นที่ระลึก....ก็แค่นั้น

      จึงได้พระองค์นี้มาไว้แบบไม่สนใจอีกเลย  และไม่เคยพบเห็นพระองค์นี้อีกเลยตั้งแต่
วันนั้น  ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี

       "อยู่ ๆ  ก็โผล่พรวดขึ้นมา   ใครละจะไม่ตกใจ"

      เชื่อไหม...หลวงพ่อทวดต้องการจะบอกว่า  พระหลวงพ่อทวดเนื้อโลหะ หลังตัวหนังสือปี 2524
นั้นทางวัดสร้างขึ้นจริง ๆ  เป็นหลวงพ่อทวดที่สร้างขึ้นด้วยพิธีกรรมที่เข้มขลัง

      ไม่งั้น....ทำไมต้องเจอหลวงพ่อทวดองค์นี้  ในเวลาที่พระรุ่นนี้มีปัญหา

      แม้หลวงพ่อทวดจะมาส่งข่าวสารตรงนี้   แต่จริง ๆ  ก็ยังไม่ได้ส่งข่าวนี้ออกไป  ทั้ง ๆ ที่หลายปีแล้ว
ก็ถือโอกาสช่วงโควิท-19  นี้  ยืนยันว่าพระรุ่นนี้สร้างจริง  มีจริง และเช่ามาจริงเมื่อปี 2526

     ใครมีพระรุ่นนี้  ก็ขอให้บูชาด้วยความสนิทใจ   ขอบารมีท่านปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย  และ
อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป

       พระรุ่นนี้สร้างขึ้นมา  2  เนื้อ  เป็นเนื้อรมดำ  กับเนื้อกะหลั่ยทอง  เนื้อรมดำวางให้เช่าบูชา
ส่วนเนื้อกะหลั่ยทองท่านเจ้าอาวาสจะเอาไว้แจกแขกที่ไปพบหาท่าน

       ส่วนรูปแบบ  ก็น่าจะจำลองมาจากพระเนื้อว่านพิมพ์กรรมการ  ปี  2497  เพราะพระเนื้อว่าน
พิมพ์ใหญ่ที่สร้างเมื่อปี  2524  ก็สร้างในรูปแบบของพระพิมพ์กรรมการปี  2497 เช่นกัน

       ก็แบบว่า...ทั้งพระเนื้อว่านและพระเนื้อโลหะ  สร้างให้เหมือนกัน  เพราะเป็นพระสร้างใน
วาระเดียวกัน

      แล้วแบบนี้...จะว่าพระรุ่นนี้ไม่มีในระบบของวัดช้างให้  ก็น่าจะคิดทบทวนกันดูให้ดี

      หลวงพ่อทวดมีความศักดิ์สิทธิ์ล้ำลึก   ผู้เขียนเองเคยได้หลวงพ่อทวดปี 2497
มาถึงบ้านโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว  พอที่จะส่งทอดเป็นมรดกให้ลูกหลานได้
ครบทุกคน  โดยการอธิษฐานขอจากหลวงพ่อทวดโดยตรง

     ใช่...สิ่งที่มองไม่เห็น...สิ่งที่ว่าไม่มี....ใช่ว่าจะไม่มี


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: sutep123 ที่ 24 เมษายน 2020, 09:27:51
 *k<//* *k<//* *k<//*


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 26 เมษายน 2020, 09:21:15


                    ต้นหูกระจง...ควรปลูกห่าง ๆ บ้าน


          วลีขำ..ขำ  เหมาะกับวงการพระจริง ๆ


                             +++++++++++

     เห็นวลีนี้ทีไร  อดขำตัวเองไม่ได้   สมัยเล่นพระใหม่ ๆ  ชอบฟังนิทานต่าง ๆ
ฟังแล้วเคลิ้มเป็นจริงเป็นจัง    คือเชื่อเสียทุกเรื่อง

      เข้าวงการพระใหม่ ๆ   ไม่เคยรู้เรื่องพระ  แต่อยากศึกษาเรื่องพระ  สมัยนั้น
พ.ศ. 2507  ไม่มีตำราพระ  แต่มีหนังสือพระเป็นเล่มขายแล้ว   ก็หามาอ่าน  เขา
มักจะแนะนำให้หาพระกรุเป็นส่วนใหญ่   บอกพระกรุดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้  ก็เลย
ฝังหัวละทีนี้

     ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หลวงพ่อทวดวัดช้างให้กำลังดัง  ไปเช่าที่วัดนี่ราคาถูกมาก
องค์ละ 5 บาท 10 บาท  ไปวัดแต่ละทีได้มาเป็นกอง  จำได้ว่าเช่ามาไม่ต่ำกว่า
40-50  เหรียญ  ทุกรุ่นทุกพิมพ์  (แต่สมัยนั้นรับราชการ  เงินเดือน 450  บาท
พอ ๆ กับราคาทองคำบาทละ  450  บาท)

    แต่นิสัยแปลกที่แก้ไม่หาย   คือได้มาแล้วแจกหมด  เห็นหน้าใครก็อยากจะแจก
พระสมเด็จวัดระฆัง รุ่น  108 ปี  รุ่น  118 ปี  122  ปี   รุ่นเสาร์ 5 ตามไปเช่าถึง
วัดระฆังทุกรุ่น  อย่างรุ่น  122 ปีนี่  คนแย่งกันเช่าพระจนรั้วกันพังทะลาย  ต้อง
ประกาศหยุดให้เช่า  แต่มาวันนี้แทบไม่เหลือให้เห็น  แจกหมด

    เหมือนฟ้าบันดาล   มีเซียนพระ(ประเภทต้มตุ๋น)มาเช่าบ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้าน
พอรู้ว่าสนใจเรื่องพระกรุ  ก็เลยมานั่งคุย แนะนำให้ความรู้เรื่องพระกรุ  พร้อมกับ
นิทานต่าง ๆ มากมาย  มีพระกรุรุ่นต่าง ๆ มาให้ดู  ถ้าชอบแลกได้ทุกองค์  แลก
กับพระหลวงพ่อทวดก็ได้

    ก็อย่างว่าหลวงพ่อทวดเป็นพระใหม่  พระกรุเป็นพระเก่าหายาก  เขาบอกว่าแท้
ก็แลกไป  หลวงพ่อทวด 2-3 เหรียญกับพระกรุ  1  องค์

    จนสุดท้ายหลวงพ่อทวดที่เช่ามาก็หมด   ที่วัดก็ไม่มีแล้ว   แต่ได้พระกรุมาเป็นกอง

    พอชักจะมีความรู้เรื่องพระ   จึงซาบซึ้งจริง ๆ  ว่า  "ต้นหูกระจง  ต้องปลูกไกล ๆ บ้าน"
เพราะพระหลวงพ่อทวดนั้นเป็นของแท้  เช่ามาจากวัด  แต่พระกรุนั้นเป็นของปลอม  ปั้น
มากับมือ

    เพราะเล่นพระด้วยหู.....ชอบฟังแต่ตำนาน....สุดท้ายก็จะได้พระเก๊มาแขวนคอ

    หลัง ๆ เลยหยุดเสวนากับเซียนพระ   เช่าหาพระกับวัดอย่างเดียว  หลวงพ่อไหนดัง
ก็เดินทางไปถึงวัด  หยุดหาพระกรุ  ไม่เล่นพระแผง  ไม่ซื้อพระห้าง  เข็ดจริง ๆ ให้ดิ้นตาย

   เช่าพระจากวัดไม่ต้องคิดมาก  ถือว่าทำบุญให้วัด  ได้พระเป็นของแถม ใหม่วันนี้   อีก
50  ปี  เป็นพระเก่ามีราคา   ไม่ต้องนั่งพิสูจน์แท้เทียมให้ปวดหัว

   ในชีวิตเช่าพระทำบุญจากวัด  น่าจะไม่เกิน  200,000  บาท  ได้พระมาเป็นหมื่นองค์
มาวันนี้ให้เช่าพระหลวงพ่อทวดวัดช้างให้  ไปสัก  10  เหรียญ  ก็น่าจะคุ้มทุนแล้ว  ที่เหลือ
ถือว่ากำไรบานเบอะ

   ก็ฝากไว้สำหรับคนที่ชอบปลูกหูกระจงข้างบ้าน

   ขอบคุณผู้ที่คิดค้นวลีนี้ขึ้นมา.....ขำจริง ๆ



                

                      (https://4upic.com/images/2020/04/26/aq5bca.jpg) (https://4upic.com/image/aq5bca)

                      (https://4upic.com/images/2020/04/26/aq5ev9.jpg) (https://4upic.com/image/aq5ev9)

                      (https://4upic.com/images/2020/04/26/aq5QPo.jpg) (https://4upic.com/image/aq5QPo)


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 26 เมษายน 2020, 10:35:24
             (https://4upic.com/images/2020/04/26/aq502X.jpg) (https://4upic.com/image/aq502X)

             (https://4upic.com/images/2020/04/26/aq5YO3.jpg) (https://4upic.com/image/aq5YO3)


              เหรียญพระครูกาชาด  (ย่อง)  วัดวังตะวันตก   2512

      1 ใน 4 กา  ที่เฝ้ารักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช


                     ''t' ''t' ''t' ''t'

   

     ตำนานกล่าวไว้ว่า.....เจ้าชายทันทกุมาร  และเจ้าหญิงเหมชาลา  โอรสและธิดาของท้าวสีหราช  เมืองทันทบุรี  ซึ่ง
ได้รักษาพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าเอาไว้  ได้นำพระเขี้ยวแก้วหนีออกจากเมือง  หลังจากเจ้าเมืองขันธบุรี  ยกทัพใหญ่
มาแย่งชิง

     พระเขี้ยวแก้วนี้ตามตำนานบอกว่า  มีพราหมณ์ผู้หนึ่งลักลอบเอาออกมาในตอนที่มีสงครามแย่งชิงพระธาตุของพระพุทธเจ้า
แล้วพระเขี้ยวแก้วนี้ระเหเร่ร่อนหลบหนีผู้แย่งชิงอยู่ถึง  800 ปี  จึงจะตกมาอยู่กับกษัตริย์สีหราช

    ทันทกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลา  ล่องเรือไปจนโดนพายุ  เรือมาเกยที่ชายหาด  แถว ๆ จังหวัดพังงา  ต่อมาทราบข่าวว่า
ที่หาดทรายแก้ว  เมืองนครศรีธรรมราช  มีเรือที่จะเดินทางไปกรุงลังกาได้  จึงเดินทางไปหาดทรายแก้ว  แต่ก็กลัวว่าถ้าเดินทาง
ต่อไปโดยนำพระเขี้ยวแก้วไปด้วย  อาจจะถูกศัตรูจับได้  จึงฝังพระเขี้ยวแก้วไว้ที่หาดทรายแก้ว  แล้วอาศัยเรือเดินทางไปกรุงลังกา
รอให้ศึกสงครามสงบ   ค่อยกลับมาเอา

    พอทุกอย่างสงบราบคาบ   ทันทกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลา   ก็เดินทางกลับไปหาดทรายแก้ว   นำพระเขี้ยวแก้วไปถวายพระ
เจ้ากรุงลังกา  ปัจจุบันพระเขี้ยวแก้วก็บรรจุไว้ในเจดีย์กรุงลังกา

    เสร็จภารกิจ  เจ้าชายทันทกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลา  ก็เดินทางกลับพระนคร  พระเจ้ากรุงลังกาก็มอบพระสารีริกธาตุให้ไป
1  ทะนาน   เจ้าชายทันทกุมารจึงแบ่งพระสารีริกธาตุออกเป็น  2  ส่วน    ส่วนหนึ่งจะนำกลับไปพระนคร   ส่วนหนึ่งก็จะนำไปฝัง
ไว้ที่หาดทรายแก้ว  ตรงที่ ๆ ฝังพระเขี้ยวแก้วเอาไว้

     ตำนานก็ชักจะสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วละ.......


  


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: sutep123 ที่ 27 เมษายน 2020, 10:23:08
 *k<//* *k<//* *k<//*


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 27 เมษายน 2020, 12:07:21
                                                    (https://4upic.com/images/2020/04/27/aqr16i.jpg) (https://4upic.com/image/aqr16i)

                                                    (https://4upic.com/images/2020/04/27/aqr9bG.jpg) (https://4upic.com/image/aqr9bG)

                     พระเจ้าศรีธรรมโศกราช  ปฐมกษัตริย์ผู้สร้างเจดีย์พระบรมธาตุ   จังหวัดนครศรีธรรมราช


เล่าขานตำนานกันต่อ.......

     หลังจากเจ้าชายทันทกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลากลับมาถึงหาดทรายแก้ว    ก็ได้เอาพระบรมสารีริกธาตุฝังดินไว้
จากนั้นก็ได้สร้างเจดีย์เล็ก ๆ ครอบไว้  และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาลักลอบขุดเอาพระบรมสารีริกธาตุออกไป
จึงมอบหมายให้พราหมณ์ที่มีวิทยาคมแก่กล้า   เสกสร้างกาพยนต์ขึ้น  4  ฝูง   เพื่อปกปักษ์รักษาพระบรมสารีริกธาตุ
กาทั้ง  4  ฝูง  มีดังนี้

     กาฝูงที่ 1   เรียกว่ากาแก้ว   มีสีขาว      เฝ้ารักษาทางทิศตะวันออก
     กาฝูงที่ 2   เรียกว่าการาม    มีสีเหลือง  เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศใต้
     กาฝูงที่ 3   เรียกว่ากาชาด   มีสีแดง     เฝ้ารักษาอู่ทางทิศตะวันตก
     กาฝูงที่ 4   เรียกว่ากาเดิม    มีสีดำ      เฝ้ารักษาอยู่ทางทิศเหนือ

     การจัดระเบียบปกครองสงฆ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช  จึงได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา  โดยมีคณะสงฆ์มาเรียกชื่อเหมือน
ฝูงกาในตำนาน  พระสงฆ์ที่เป็นหัวหน้าคณะ ก็จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูกา  เรียกว่าพระครูกาแก้ว  พระครู
การาม พระครูกาชาด พระครูกาเดิม  แล้วจะมีชื่อต่อท้าย  ตำแหน่งเทียบเท่าสังฆราชหัวเมืองหรือพระราชาคณะสำหรับสงฆ์

     ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. 854  ที่พระทนทกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลา   ได้ก่อสร้างเจดีย์ซ่อนพระบรมสารีริกธาตุไว้

     เวลาจะเนิ่นนานผ่านไปเท่าไรไม่อาจจะทราบได้  แต่บริเวณที่ก่อสร้างเจดีย์เล็ก ๆ ไว้  ก็ถูกดินทรายทับถมจนไร้ร่องรอย
ต้นไม้ใบหญ้าก็ขึ้นปกคลุมทับถมหาดทรายแก้วจนรกเรื้อไปทั่วบริเวณ

     ธรรมชาติย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา  เนินนานกาลเป็นร้อย ๆ ปี

     ก็มีกษัตริย์พระองค์หนึ่ง  นามว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราช  ได้พาผู้คนอพยพหลบหนีโรคระบาด  (น่าจะไม่ใช่โควิด-19)
เข้ามาอาศัยที่หาดทรายแก้ว  จนกระทั่งรู้ข่าวว่าบริเวณนี้มีพระบรมสารีริกธาตุถูกฝังซุกซ่อนเอาไว้   จึงออกค้นหาจนพบ
แต่ก็ไม่อาจจะขุดค้นขึ้นมาได้   เพราะฝูงกาพยนต์ที่เฝ้าพระบรมริกธาตุไล่จิกทำร้ายจนถอยหนีแทบไม่ทัน

     แต่ก็มีชาวเมืองคนหนึ่งที่รู้วิชาที่จะปราบกาพยนต์ได้  จึงได้ทำการปราบกาบยนต์จนราบคาบ   พระเจ้าศรีธรรมโศกราช
จึงได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น   พร้อมกับก่อสร้างพระเจดีย์พระบรมธาตุ  ในปี พ.ศ.  1719

     ต่อมาพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  ก็ได้เอานามของกาทั้ง  4  ฝูง  มาตั้งเป็นสมณศักดิ์พิเศษเป็นพระครูหัวหน้าคณะ
ผู้ดูแลเจดีย์พระบรมธาตุ  ตามที่ได้กล่าวข้างต้น

     ก็ย่อ ๆ  เรื่องของกา  4  ฝูง   ให้อ่านกันเล่น ๆ เป็นตำนานที่แปลกดี   เชื่อไม่เชื่อเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เพราะตำนาน
ก็คือเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา   อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้

     เพราะเรื่องขำ..ขำ  มักจะมีให้เห็นเสมอในวงการพระเครื่อง

     



หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 27 เมษายน 2020, 17:03:54
พระที่เช่าบูชามาจากวัด.....อย่าคิดว่าเป็นพระแท้เสมอไป

     ได้ยินหลายคนบ่น...พระนี้พ่อเช่ามาจากวัด  รับมาจากมือหลวงพ่อโดยตรง
แต่พอเอาไปให้เซียนดู   เซียนบอกว่าเป็นพระเก๊  งงกับเซียนจริง ๆ

     เชื่อหรือไม่ว่า  พระที่รับมาจากมือหลวงพ่อ  เป็นพระเก๊ 100 %  ก็มี
ไม่เชื่อจะเล่าให้ฟัง    ผู้เขียนเจอมากับตนเองถึง  3  วัด  หมดเงินเป็นหมื่นก็มี

     พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ที่สร้างพระเครื่องขึ้นมา  เจตนาจริง ๆ  ไม่ได้สร้างไว้ขาย
แต่สร้างไว้เพื่อแจกให้กับผู้ที่เคารพศรัทธาในหลวงพ่อ   เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้
ทำดี ประพฤติดี  นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อรูปนั้น ๆ ทางวัดเองก็ไม่ได้ขายพระ เพียง
แต่เอาพระมามอบให้เป็นที่ระลึกกับผู้ที่ทำบุญบริจาคเงินให้วัด  เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธ
ศาสนาเท่านั้น

    คนที่ไปทำบุญให้วัด  ก็ถือว่าทำบุญไปแล้ว  ก็จบกันไป  ส่วนพระที่ได้มาไม่มีราคา
เป็นของฟรี  เพราะไม่ได้ซื้อมา  แต่ได้รับมาจากการไปทำบุญเท่านั้น  ได้มาแล้วก็
แจกจ่ายให้กับคนคุ้นเคยต่อ ๆ กันไป  ตามเจตนารมย์ของหลวงพ่อ

    สมเด็จพุฒาจารย์โตวัดระฆัง  ท่านก็ทำพระขึ้นมาแล้วแจกจ่ายให้ญาติโยม  เพื่อ
เตือนใจใหทำแต่ความดี  ไม่ได้มีการขายพระ  พระที่สร้างขึ้นมาก็คงจะมีจำนวนที่พอดี
กับคนสมัยนั้น  รอบ ๆ วัดระฆังสมัยนั้นก็น่าจะมีคนแค่หลักพันหรือหลักหมื่นต้น ๆ

    เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป  ระบบทุนนิยมเข้ามา  พระเครื่องก็กลับกลายเป็นสินค้า
วางขายในท้องตลาดเหมือนขายผักขายปลา  ศรัทธาและความเชื่อก็เปลี่ยนไป ราคา
กลายมาเป็นตัวกำหนดค่านิยมให้กับพระเครื่องแต่ละรุ่น แต่ละวัด  จากการแขวนพระ
เพื่อให้ระลึกถึงคุณงามความดี   ก็กลายเป็นการแขวนพระที่ประชันกันในเรื่องราคา

     พระดี  คือพระที่มีราคาแพง.....เป็นงั้นไป

     ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพระองค์ไหนบอกว่า  ฉันนี่แหละราคาแพงที่สุด  ฉันนี่แหละดีที่สุด
ก็เป็นเพียงแค่คน ที่เล่าขานบอกตำนานลม ๆ แล้ง ๆ สู่ต่อกันมา  สร้างสมมุติฐาน
มาหลอกล่อกัน  เพื่อธุรกิจระบบทุนนิยมเท่านั้น


     นี่เป็นแค่บทเกริ่น  ยังไม่จบ


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 30 เมษายน 2020, 10:02:06


       เมื่อระบบทุนนิยมเข้ามา  พระกลายเป็นสินค้าเหมือนผักปลา  นายทุนก็จะเริ่ม
เข้ามาเกาะกุมอำนาจ  เริ่มตั้งแต่สร้างพระขึ้นมาเองโดยอาศัยหลวงพ่อที่แก่ ๆ มี
พรรษามาก ๆ แล้วปลุกปั่นจนกลายเป็นพระดัง  พระเครื่องที่สร้างมาจำหน่ายหมด
กระแสนิยมก็จะลดวูบลงไป  อีกอย่างหนึ่งก็คือปั่นพระที่มีอยู่แล้วให้ดังขึ้น  สร้าง
นิทานต่าง ๆ ปลุกเร้าคนเล่นพระ   แล้วโก่งราคาพระรุ่นนั้น ๆ ให้แพงขึ้น ๆ เอาพระ
ที่ตัวเองกักตุนไว้ออกมาขาย  ทบทวนดูให้ดีในรอบ  30-40 ปีที่ผ่านมา  จะมี
กระแสนิยมพระรุ่นนั้นดังขึ้น  รุ่นนี้ดังขึ้น  สักพักก็จะหายไป   มีมากมายหลายรุ่น

       แม้แต่ตามวัดสมัยนี้   ที่นิยมสร้างพระองค์ใหญ่ ๆ  แล้วจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยว
มีคนเขาลือให้ฟังว่าส่วนใหญ่จะเป็นของนายทุน   เข้าไปสร้างไว้  แล้วคอยแบ่งผล
กำไรกับทางวัด   ตรงนี้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้   เพียงแต่ได้ยินเขานินทากัน

       พระที่สร้างสมัยหลัง ๆ นี่  ต้องพิจารณากันให้รอบคอบ  ถ้าเล่นเพื่อหวังพึ่ง
พุทธคุณ   ก็หาพระที่สร้างสมัย พ.ศ. 2510  ลงไปมาคล้องคอจะมั่นใจกว่า แต่
ถ้าเล่นเพื่อขายหรือสะสมไว้เป็นของโบราณเก็บไว้เป็นพิพิธภัณฑ์  ตรงนี้ก็แล้วแต่ใจ

       เพราะมาถึงยุคนี้หาพระจริงพระแท้ได้ยากเต็มที  เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายทุน
แม้แต่สมเด็จวัดระฆังที่สร้างมาเป็นร้อย ๆ ปี    ก็ยังถูกนายทุนกำหนดว่าจะเล่นแบบไหน
อย่างไร


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 30 เมษายน 2020, 10:24:44


             พระปลอม..มีโทษมหันต์  แต่ก็..มีคุณอนันต์

    เรื่องของพระปลอมก็เป็นปัญหาโลกแตก  พระปลอมจะมีมาตั้งแต่เมื่อไร  ไม่มีใคร
บอกได้  แต่ที่แน่ ๆ  พระปลอมจะต้องเกิดขึ้นในยุคที่คนต้องการพระเครื่องที่ดัง ๆ  แล้ว
พระนั้นหมดไป  หรือหายากขึ้น  หรือมีราคาแพงขึ้น  

    เพราะมีพระปลอม  จึงมีพระแท้  เพราะมีพระปลอมตลาดขายพระจึงคึกคัก  พระปลอม
จึงมีประโยชน์มากกว่าจะมีโทษ  คนเล่นพระได้ศึกษาพระแต่ละชนิดอย่างถ่องแท้  ก็เพราะ
มีพระปลอม  การเล่นหาพระสนุกสนาน ไม่เบื่อ ก็เพราะมีพระปลอมให้ศึกษา

    เพราะมีพระปลอม  จึงมีเซียนพระ   มีคนชำนาญในเรื่องพระ  มีโรงเรียนสอนการดูพระ
สารพัดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระเครื่อง  ก็เพราะการเกิดขึ้นของพระปลอมนี้แหละ

    วัดมากมายทั่วปรเทศ  พระธุดงค์  ชีปะขาว  และอีกมากมาย  ก็ได้อาศัยพระปลอมนี้แหละ
ทำมาหากิน  บุคคลเหล่านี้จะไปเดินแถวท่าพระจันทร์   ซื้อพระถุงร้อยองค์มามอบให้คน
ทำบุญที่วัด  บางวัดก็แจกไปกับผ้าป่า กฐิน  บางวัดหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็แจกให้กับคนที่ไป
กราบไหว้  สารพัดรูปแบบจารนัยไม่ไหว  ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงได้รับนำกลับมาไว้ที่บ้าน
กันทุกบ้าน  เพียงแต่จะรู้หรือไม่รู้เท่านั้น

    เชื่อไหมถ้าไม่มีพระปลอม  แผงขายพระดาษดื่นที่วางขายกันทุกตรอกซอกซอยในเมืองไทย
จะเอาพระที่ไหนมาขาย  ที่เต็มพรืดอยู่ทุกที่ทุกแผง  ล้วนเป็นพระปลอมทั้งนั้น

    และพระปลอมนี้แหละที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ  ให้กับคนขายพระระดับริมถนน  ได้
มีข้าวกันกันครบ 3  มื้อ

    เพราะแค่มีเงิน  5  บาท  10  บาท  ก็ซื้อหาพระเครื่องปลอมมาขึ้นคอได้แล้ว

    แล้วอย่างนี้จะว่าพระปลอมไม่ดีได้อย่างไร

   เพราะพระเครื่องเป็นแค่สิ่งสมมุติ  ที่เอามาแขวนคอเพื่อเตือนสติ  อย่าให้หลงลืมตัว แขวน
พระแล้วมีจิตใจเมตตา กรุณา  รักษาศีล 5  ดำรงตนพอเหมาะพอควร ไม่ประมาท  ประพฤติ
ดีประพฤติชอบ  เห็นอกเห็นใจคนอื่น  จะพระปลอมองค์  5  บาท  หรือพระแท้องค์  100 ล้าน
ก็มีค่าเท่ากัน


   แขวนพระสมเด็จองค์ละ  100  ล้านเลี่ยมกรอบฝังเพ็ชร  แต่ชอบดูถูกคนอื่น  ไม่ถูกใจก็
ด่ากราดไปทั่ว  กดขี่ข่มเหงชาวบ้าน  กอบโกยกำไรเกินควร ฯลฯ  แบบนี้จะหาคนรักใคร่เอ็นดู
เพราะพุทธคุณของพระ  คงจะยากเต็มที


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 02 พฤษภาคม 2020, 08:10:39
     เมื่อพระเครื่องเป็นธุรกิจ  เป็นพุทธพานิช  ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป   วัดก็จะกลาย
จากการแจกพระ เป็นการขายพระ  ตามกระแสนิยมของสังคมนอกวัดโดยปริยาย

      เรื่องพระปลอม  บางครั้งก็ออกมาจากวัดนี้เป็นเรื่องจริง   ผู้เขียนเจอด้วยตาตนเอง
มาถึง  5  วัด  แต่คงจะไม่ระบุวัดให้ชัดเจนลงไป  เพราะจะทำให้วัดเสียชื่อเสียง และ
ถูกฟ้องร้องได้   เอาเป็นว่าบอกเล่าวิธีการก็แล้วกัน

      ตัวการสำคัญที่เกิดให้มีการซื้อขายพระปลอมในวัด  ก็เกิดจากลูกศิษย์ที่ดูแลหลวงพ่อ
ซึ่งโดยมากจะเป็นหลวงพ่อที่มีอายุมาก ๆ  90 ปีขึ้นไป  ค่อนข้างหลง ๆ ลืม ๆ  และก็มีพระ
รุ่นเก่า ๆ  ที่มีชื่อเสียงอยู่  ก็มักจะมีคนที่ไปกราบไหว้หลวงพ่อถามว่า  พระรุ่นนั้น  ที่วัดยังมี
อีกไหม  คนดูแลหลวงพ่อก็จะบอกว่ามี  พร้อมกับหันไปถามหลวงพ่อเป็นการยืนยันว่าพระ
รุ่นนี้หลวงพ่อยังเก็บไว้อยู่ใช่ไหม  หลวงพ่อซึ่งมีอายุมากแล้ว  ก็จะตอบว่ามี

      แค่นี้ก็ได้ผล  สอบถามราคากันโดยพอใจแล้ว  ลูกศิษย์วัดก็จะนำพระมามอบให้หลวงพ่อ
เราก็จะเข้าไปรับกับมือหลวงพ่อ  หลวงพ่อก็จะเป่าเสกคาถาทำพิธีตามแบบของท่าน   เราก็
จะได้รับพระมาจากมือหลวงพ่อด้วยความภาคภูมิใจ

      เมื่อมาถึงบ้าน  เอามาเทียบกับองค์จริงที่เรามีอยู่   หรือกับเพื่อนฝูง   ก็จะรู้ว่าพระองค์นั้น
เก๊แบบมองแว้บเดียวก็รู้

      มีวัดหนึ่งเช่ามาในราคา 25,000  บาท  เพราะเป็นพระที่นิยมมาก  และมีอายุเกือบ
30  ปีแล้ว  กลับมาถึงบ้านก็พูดไม่ออก

      ที่หนักกว่ามีอยู่วัดหนึ่ง   บังเอิญพระพิมพ์หนึ่งของวัดนั้นเกิดดังขึ้นมากระทันหัน   คนแห่
กันไปเช่าบูชาแน่นวัด  จนพระหมด  วัดก็ประกาศว่าพระหมดแล้ว   แต่คนก็ยังไปหากันอยู่
แล้วก็มีข่าวลือว่าพระพิมพ์ที่ว่าหมดไปนั้น  มีวางให้เช่าบูชาแล้ว  เมื่อไปดูก็พบว่ามีพระจริง ๆ
แต่องค์พระยังเปียกชื้นอยู่เลย   ก็สันนิษฐานว่าน่าจะกดพระกันตอนเย็น  วางพอหมาด ๆ
แล้วเอามาให้เช่า  เพราะวัดมีทั้งพิมพ์พระ  มีทั้งวัสดุที่จะสร้างพระอยู่พร้อมแล้ว


     คนก็แย่งบูชากันตรึม   เพราะถือว่าเป็นพระที่ออกมาจากวัด

     พระรุ่นนี้มีพิธีปลุกเสกใหญ่    แต่พระที่กดขึ้นใหม่แค่ข้ามคืน  ไม่ได้มีการปลุกเสก
เมื่อเอาพระพิมพ์นี้มาวางไว้ด้วยกัน  ชั่วเวลาข้ามไปแค่  10  กว่าปี  พระก็แห้งสนิท  
มองไม่รู้ว่าองค์ไหนสร้างด้วยวัด และองค์ไหนสร้างโดยลูกศิษย์วัด

     จึงบอกว่าบางทีพระที่รับมาจากมือหลวงพ่อก็ยังมีพระปลอมเห็น ๆ  ก็เกิดขึ้นด้วยเหตุการณ์ที่
เราก็ไม่คาดคิดว่าจะมีแบบนี้แหละ


     ก็ถือว่าเป็นเรื่องขำ.....ขำ  อีกเรื่องหนึ่งในวงการพระเครื่อง


    



หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: sutep123 ที่ 07 พฤษภาคม 2020, 10:11:41
 *k<//* *k<//* *k<//*


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 10 พฤษภาคม 2020, 08:02:14



                                                (https://4upic.com/images/2020/05/10/aA0L0t.jpg) (https://4upic.com/image/aA0L0t)


พระเครื่องเรื่องขำ...ขำ    ตอน   พระคุ้มครองคนหรือคนคุ้มครองพระ


     จากพระแจกจากมือหลวงพ่อ  พระสมณาคุณจากวัด  เข้าสู่ตลาดการซื้อขาย
การปั่นราคาด้วยนิทานบ้าง  ด้วยปริมาณที่หายากบ้าง  ด้วยสารพัดวิธี  กระตุ้น
ความอยากและความโลภในตัวคนให้ลุกโชน  สร้างเป็นกระแสที่ยากจะดับได้
กระต้นให้ราคาพระมีราคาสุดโด่ง  ยิ่งราคาแพงการแสวงหาก็ยิ่งมากขึ้น  พระ
ก็เลยกลายเป็นทรัพย์สินที่ทุกคนแสวงหา  อยากได้มาครอบครอง

     แต่บางครั้งการได้ทรัพย์สินที่มีราคาแพงมาครอบครอง  ก็เป็นภัยแก่ตัวเอง
ดังมีข่าวมาเมื่อหลายปีก่อน   คนห้อยพระสมเด็จราคาสิบล้านร้อยล้าน  ถูกลอบ
ทำร้าย ถูกฆ่าเพื่อแย่งชิงพระสมเด็จ   หลัง ๆ  เลยได้ข่าวว่าคนมีพระสมเด็จ
ต้องเก็บในเซฟอย่างดี  บางคนต้องนำไปฝากธนาคารไว้

     ตลกดีไหมละ....  พระสร้างมาเพื่อให้มีพุทธคุณคุ้มครองคน   
แต่กลายมาเป็นคนต้องคุ้มครองพระ   แปลกดีเน๊าะ

     พระเป็นทรัพย์สินมีค่า  ตีราคาแทนเงินตราได้  ทุกบ้านทุกช่องจึงต้อง
เก็บรักษากันเป็นอย่างดี   เพราโจรขโมยที่ขึ้นบ้านยุคนี้  มักจะมองหาพระ
เป็นอันดับแรก    หน้าที่ของคนก็เลยต้องคอยคุ้มครองพระ  เพราะพระ
คุ้มครองตัวเองไม่ได้

     


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 10 พฤษภาคม 2020, 08:26:11


     มาถึงยุคนี้    คนคุ้มครองพระน่าจะพอมีเวลาให้พระได้คุ้มครองคนบ้างแล้วละ  เมื่อปรากฏ
พระยอดนิยมหลาย ๆ หลวงพ่อ  หาได้มีปริมาณจำกัดและยากแก่การแสวงหาไม่

     พระสมเด็จวัดระฆัง  เดิมเป็นพระที่หายากสุด ๆ  มีคนประมาณการว่าน่าไม่มีอีกแล้วในท้อง
ตลาด  ที่เห็น ๆ ล้วนเป็นของปลอมหมดสิ้น  แต่ปัจจุบันมีพระสมเด็จออกมาให้เห็น  พร้อมคำยืนยัน
ว่าเป็นพระสมเด็จที่แท้จริง  สร้างโดยสมเด็จพุฒาจารย์โตจริง ๆ  มีอยู่จริง ๆ  น่าจะไม่ต่ำกว่า
10  ล้านองค์  พร้อมแม่พิมพ์อีกเป็นหมื่น ๆ แม่พิมพ์

     ใครอยากได้พระสมเด็จมาห้อยคอปัจจุบันนี้  จึงง่ายดาย  มีเงินก็ไปซื้อมาแขวนคอได้แล้ว
พร้อมใบรับรองว่าพระแท้สมเด็จโตปลุกเสกแน่นอน

     ก็ดีใจกับคนอยากมีพระสมเด็จ  ความฝันเป็นจริงเสมอ  อาจจะเป็นเพราะบารมีของสมเด็จ
ก็เป็นได้

     ส่วนตัวผู้เขียน  ตอนแรกก็งง ๆ กับปริมาณที่มากมายมหาศาล  เพราะพระสมเด็จที่เปิดตัวมาใหม่
กับที่มีอยู่เดิมในมือเซียนพระ  ในกลุ่มนักสะสมพระ  ฯลฯ  มีอยู่แล้วคนละนับสิบ ๆ องค์  บางคน
เป็นร้อยเป็นพันองค์  เมื่อรวมกับของที่เปิดตัวออกมาใหม่นี่  ปริมาณ  10  ล้านองค์  น่าจะต่ำ
เกินไปแล้วละ  ปริมาณที่มากมายเหล่านี้  เมื่อนึกไปถึง  150  ปีที่แล้ว  คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ
คนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ วัดระฆัง  จะมีสักกี่ล้านคนนะ

     เห็นแต่องค์พระนี้พอทำเนา  พอเห็นบล็อกพิมพ์ก็มีด้วย  ผู้เขียนขอถอยหลังมา  3  ก้าว
ยอมรับว่าพระที่เปิดตัวออกมาไม่ว่าจะสักกี่เจ้า   เป็นของแท้แน่นอน (ตามคำยืนยันของเจ้าของพระ)
แต่พอเห็นมีทั้งพระมีทั้งบล็อกพิมพ์  ก็ต้องขอเวลาศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อย  พร้อมขอเปิด
คัมภีร์กาลามสูตรมาอ่านหลาย ๆ เที่ยว  กันลืม

     เพราะผู้เขียนไม่ใช่เซียนพระ  ไม่ซื้อพระ  ไม่ขายพระ  แต่ชอบศึกษาเรื่องพระ  ก็แค่นั้น
แต่ถ้าใครจะให้ฟรี ๆ ยินดีรับไว้  อย่างหลวงพ่อเดิมองค์สวยกริ๊บข้างบน  ก็มีคนมอบให้ฟรี ๆ  โดยไม่คำนึง
ถึงมูลค่า  ทำดีย่อมได้ดีเสมอ


     ก็แค่เล่าให้ฟังขำ ๆ  เท่านั้น   อย่าถือเป็นเรื่องเป็นจริงเป็นจัง  อ่านเล่น ๆ  ช่วงรอโควิด
เก็บกระเป๋ากลับบ้าน



หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 14 พฤษภาคม 2020, 15:30:01




                              (https://4upic.com/images/2020/05/14/aChHWp.jpg) (https://4upic.com/image/aChHWp)


             พระเครื่องเรื่องขำ..ขำ   ตอนย้อนอดีตขำ...ขำ

                     พระองค์นี้เป็นพระกรุวัดเชิงท่า   จังหวัดนนทบุรี  (วัดร้าง)   เนื้อตะกั่วปิดทองล่องชาค  สนิมแดงสวยงามมาก  แตกกรุเมื่อปี  2508
             อายุตอนขึ้นจากกรุ  230  ปี  มาถึงตอนนี้ก็ 300  ปีแล้วละ

                     แลกมาเมื่อปี  2510   กับเหรียญหลวงพ่อทวด  เช่ามาจากวัดเหรียญละ  10  บาท  จำนวน  2  เหรียญ   ก็รู้สึกคุ้มค่าคุ้มราคาใน
             สมัยนั้น  ซึ่งพระกรุสมัยนั้นก็ราคา 20-30 บาทนี้แหละ

                     แต่เมื่อมาถึงปี พ.ศ.  2563   พระกรุองค์นี้น่าจะมีราคาไม่เกิน  5,000  บาท  ส่วนเหรียญหลวงพ่อทวด  ก็น่าจะราคาเหรียญละ
             20,000  บาท  2  เหรียญก็ 40,000  บาท

                     ก็เท่ากับ   5,000  ต่อ  40,000  บาท

                    ใช่...ก็ใครจะไปนึกละว่า  ยิ่งนานไป ๆ เหตุการณ์มันจะผันแปรไปเป็นเช่นนี้

                    ก็นี่แหละ  พระเครื่องเรืองขำ ...ขำ    ไงละ


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 14 พฤษภาคม 2020, 15:53:47


                                                                   (https://4upic.com/images/2020/05/14/aChXAa.jpg) (https://4upic.com/image/aChXAa)


                                    พระสมเด็จพิมพ์อกร่อง ปี 2495   สร้างโดยพลตำรวจเอกเผ่า  ศรียานนท์  อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น


              อ่านประวัติการสร้างพระชุดนี้แล้ว  เกิดความอยากได้มาก  เพราะดูวิธีการสร้าง  การปลุกเสก  ยิ่งใหญ่และเข้มขลังจริง ๆ ในสมัยนั้น   พระเกจิดัง ๆ มากมาย
มาร่วมกันปลุกเสก  ยังได้ผงจากวัดระฆังมาผสมด้วย  ยิ่งทำให้ความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมากขึ้น

              เจ้าของเดิมหวงมากจริง ๆ  เวียนหลายรอบมากที่จะแลกเปลี่ยน  เอาพระหลากหลายพิมพ์ไปเสนอ   เขาก็ไม่ยอม  ใจก็อยากได้  เลยตัดสินใจเอาพระหลวงพ่อทวดพิมพ์
เตารีดเนื้อโลหะกลับดำ   ปี  2505  ไปแลก  เจ้าของพระพอเห็นหลวงพ่อทวดหลังเตารีดก็ตาโต  รับข้อเสนอทันที    ก็เลยได้พระนี้มาสมใจอยาก  ก็ชื่นชมตามแรงเชียร์
ในหนังสืออยู่หลายวัน  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี  2508

              มาถึงปัจจุบัน    พระสมเด็จองค์นี้   ราคาไม่เกิน   8,000  บาท   แต่หลวงพ่อทวดพิมพ์เตารีดเนื้อโลหะกลับดำ   มีราคา 7-8  แสนบาทแล้ว

              บางที......การเล่นพระด้วยหู (อ่านตำรา)  ก็พาหลงทางไปได้ไกลจริง ๆ  เฉกนี้

              ก็เพราะพระเครื่องเป็นเรื่องขำ..ขำ

              ก็เลยแค่พอขำ ๆ  (แบบขำไม่ออก)


              


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 15 พฤษภาคม 2020, 08:54:31


พระเครื่องเรื่องขำ..ขำ    ตอนขำ ๆ กับนิยายขายพระเครื่อง

    เมื่อยุคสมัยเปลี่ยบไป  วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป  หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็ดูเหมือนจะถูกลืมไป  โลกยุคทุนนิยมเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งแม้จิตวิญญานของมนุษย์ จาก
ความโอบอ้อมอารี  ช่วยเหลือเผื่อแผ่กัน  ให้กลายเป็นแข็งกระด้าง  คอยกดขี่ข่มเหงเอา
เปรียบกันสารพัด

    หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกนำไปวางไว้บนหิ้งเสียแล้ว

    นำเอาศรัทธาและความเชื่อมาเป็นใบเบิกทาง
    นำเอาความโลภ ความหลงของมนุษย์มาปูพื้นทางเดิน
    สร้างวัตถุนิยมขึ้นมาเป็นหลักประกันให้ชีวิต

    แม้แต่พระสงฆ์องคเจ้าก็ไม่ละเว้น  ทุกวัดวาอาราม  ทุกหนทุกแห่ง  ล้วนมีแต่วัตถุ
นิยมที่มุ่งเน้นให้คนเข้าไปในวัดติดกับดับแห่งความโลภกับความหลง

     ขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า  ที่ให้มนุษย์ลดละความโลภ
ความหลงออกจากจิตใจให้มากที่สุด  ปล่อยวาง  ไม่ยึดมั่นถือมั่น

    วัดปัจจุบันจึงมีแต่ความรุ่มร้อน   ไม่ได้สงบร่มเย็นดังเช่นกาลก่อน

    มุ่งแต่สร้างสรรค์แต่สิ่งปลอมปนที่เป็นพิษร้ายเข้าสู่จิตใจมนุษย์  มอมเมายั่วยุ
แต่กิเลสตัณหา  หาอุบายหลอกล่อให้คนหลงแลกเปลี่ยนกับเงินตรา

    แม้แต่รูปเคารพที่ไม่ใช่วิถีแห่งพุทธ  แต่ก็นำเข้ามาสู่วิถีพุทธ

    พระพุทธเจ้าเคยทำนายไว้ว่า  หลัง 2500 ปีไปแล้ว   พระพุทธศาสนาจะค่อย ๆ
เสื่อมถอยลงไป  และพระพุทธศาสนาจะหมดไปจากโลกนี้เมื่อครบ  5,000 ปี

    ก็น่าจะเห็นจริงตามคำทำนายนี้


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: sutep123 ที่ 15 พฤษภาคม 2020, 10:12:33
 *k<//* *k<//* *k<//*


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 15 พฤษภาคม 2020, 15:25:35


     จากพระเครื่องที่ออกมาจากมือของผู้ทรงศีล  มอบหมายให้ด้วยความเมตตา  หรือจาก
พระเครื่องที่ทางวัดจัดสร้างเพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกสำหรับผู้สมทบทุนบริจาคเงินทนุบำรุงวัดวา
อาราม   ก็โลดแล่นเข้าสู่วังวนแห่งความโลภหลงของผู้คนริมถนนรนแคม  หรือห้างสรรพสินค้า

     ตำนานหรือนิยายประกอบการขายพระเครื่องแต่ละรุ่น  แต่ละพิมพ์ ก็จะเกิดขึ้นตรงนี้

     เพราะการฟังด้วยหู  ง่ายแก่การตัดสินใจ  ดีกว่าดูด้วยตา

     พระเครื่องสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด  ไม่มีคำตอบแน่ชัด  บางคนบอกว่าสร้างไว้สืบต่ออายุ
พระพุทธศาสนา  ตรงนี้ไม่น่าจะตรงความจริง   เพราะผู้สืบทอดศาาสนา  คือ  พระภิกษุ  ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา  ไม่มีรายชื่อพระเครื่องอยู่  บางคนบอกว่าสร้างเพื่อเอาพุทธคุณป้องกันตัว
ตรงนี้ก็ยังไม่มีบทพิสูจน์ที่แน่ชัด  เป็นเพียงแต่การคาดคะเน

     ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง    พระเครื่องน่าจะสร้างขึ้นเพื่อให้คนบูชากราบไหว้  ระลึกถึงพระคุณของ
พระพุทธเจ้า  และน้อมนำเอาศีลและแนวปฏิบัติทางธรรมของพระองค์เข้ามาใช้ในการดำรงชีวิต
ทุกครั้งที่ท้อแท้  หมดหวัง  และเกิดความทุกข์  ก็เอาพระเครื่องมาพิจารณามองให้เห็นธรรม
ถ้ามองในแง่นี้พระเครื่องรุ่นไหน ๆ วัดไหน ๆ ก็เท่าเทียมกันหมด  เพราะแค่เป็นสิ่งเตือนสติให้
ระลึกถึงธรรมเท่านั้น  


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 16 พฤษภาคม 2020, 11:22:09


    เมื่อพระเครื่องกลายเป็นสินค้า  ก็เหมือนสินค้าทั่วไป   ต้องประชันขันแย่ง   แย่งชิงการตลาด
สร้างยุทธวิธีขึ้นมาเพื่อนำหน้าคู่ต่อสู้  สร้างภาพสร้างตำนาน  สร้างความเข้มขลัง  สร้างอภินิหาร
สร้างความเหนือกว่าขึ้นในทุกมิติ   สร้างราคาที่โดดเด่น ดังจะเห็นกันในตลาดพระเครื่องทั่ว ๆ ไป

    เพราะคนส่วนใหญ่ชอบกระแส  ชอบความโด่งดัง  ชอบของที่มีราคาแพง  พระเครื่องสร้างความ
โดดเด่นด้วยตัวเองไม่ได้  แต่คนสร้างได้  ดังนั้น  พระเครื่ององค์ไหนดี  องค์ไหนเด่น องค์ไหนดัง
ล้วนคนเป็นผู้สร้างขึ้นทั้งนั้น

    อย่างสมเด็จวัดระฆัง  ได้รับการยอมรับมานมนานมากว่า  เป็นพระระดับแนวหน้า  หรือดีที่สุดใน
เมืองไทย   ใคร ๆ ก็ใฝ่หาอยากได้มาครอบครอง  ของมีน้อย คนอยากได้มาก  ราคาก็ต้องแพง
เป็นธรรมดา  ยิ่งราคายิ่งแพง  คนยิ่งอยากได้  กระแสนิยมถูกโหมกระหน่ำด้วยแรงคน  รุกเร้าความ
อยากให้ลุกโชนขึ้นไม่ขาดสาย

   เมื่อมีผู้ต้องการมาก   ก็ต้องมีผู้สนอง  จึงเกิดมีสำนักขึ้นหลาย ๆ สำนักที่มีพระพิมพ์สมเด็จ
สายตรงจากวัดระฆังออกมานำเสนอ  จนเรียกได้ว่าปัจจุบันสมเด็จวัดระฆังเต็มฟ้าเมืองไทย
เป็นล้าน ๆ  หรือหลายล้านองค์ทีเดียว  ทุกองค์ล้วนเป็นพระแท้  ถึงยุค 150  ปีขึ้นไปทั้งนั้น
และก็ผ่านพิธีกรรมปลุกเสกจากสมเด็จพุฒนาจารย์โตมาแล้วทั้งสิ้น

     พระเหล่านี้มาพร้อมกับตำนานเล่าขานถึงการสร้างแต่ละรุ่น แต่ละพิมพ์  ที่สมเด็จพุฒาจารย์โตสร้าง
ตลอดจนเนื้อหามวลสาร รูปแบบ  ที่ถูกต้อง    ลองฟังให้หมดทุกสำนัก  ก็จะซึ้งถึงข้อเท็จจริง

    คงไม่วิเคราะห์เจาะลึกถึงข้อเท็จจริง   เพียงแต่ที่ขำ ๆ   ก็ตรงที่แต่ละสำนักเนื้อหาสาระไม่ตรงกันเลย
ในแทบจะทุกเรื่อง    ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน

      ส่วนพระจะแท้หรือไม่แท้   ไม่มีใครพิสูจน์ได้  ทุกคนมั่นใจว่าของตัวเองแท้  แต่ของฝ่ายตรงข้ามปลอม  ทุกคนคิด
แบบเดียวกัน  จึงสรุปง่าย  ๆ พระแท้ทุกองค์  เพราะไม่มีคนตัดสิน

       การที่จะฟันธงว่าพระคนอื่นปลอม  โดยเอาพระตัวเองเป็นตัวตั้ง  จึงไม่ชอบด้วยเหตุผล

       เว้นแต่การซื้อขายพระ  อยู่ที่ความชอบและความมั่นใจของผู้ชื้อ  ที่จะชื้อหรือไม่ชื้อถ้าพระนั้นไม่ตรงกับกลุ่มของตน

    ก็ต้องศึกษากันต่อไป   สุดท้ายแล้วจะเป็นเพียงเรื่องขำ...ขำ    หรือเรื่องจริง   ก็อยู่ที่ผู้ที่อยากได้
พระเครื่องมาครอบครองนั้นแหละ  เป็นผู้ตัดสิน

    เพราะจริง ๆ แล้ว   ปัจจุบันนี้ยังไม่มีทั้งพุทธศาสน์และวิทยาศาสตร์  ที่จะชี้ชัดลงไปได้ว่าจริงหรือเท็จ
แม้จะมีผู้จัดทำขึ้น  แต่ก็มีช่องโหว่มากมายที่ยังทำให้เคลือบแคลงใจ

    สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นต่อไป  ก็คือต้องสร้างตัวชี้วัดที่เที่ยงตรง  โดยหน่วยงานกลางที่ไม่เข้าข้างหนึ่ง
ข้างใดมาเป็นผู้ตัดสิน   นิยายขายพระเครื่องจึงจะได้บทสรุปเสียที


    


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 17 พฤษภาคม 2020, 18:48:14
                                          (https://4upic.com/images/2020/05/17/aObrKH.jpg) (https://4upic.com/image/aObrKH)

                                              วัดทรายขาว  2514


                                          (https://4upic.com/images/2020/05/17/aObCOT.jpg) (https://4upic.com/image/aObCOT)

                                             อาปาเช่   2505

                                          (https://4upic.com/images/2020/05/17/aOb7zC.jpg) (https://4upic.com/image/aOb7zC)

                                อาปาเช่เนื้อเงิน   2537   สร้าง  รพ.โคกโพธิ์




       ผู้ที่แสวงหาพระเครื่อง  ต่างก็มุ่งหวังที่จะอาศัยพุทธคุณจากพระเครื่องมาคุัมครองตน
แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ตรงไหน   ว่าพระเครื่องมีพุทธคุณจริงหรือไม่  อย่างไร  ก็อาศัยนิยาย
ขายพระเครื่องอีกนั้นแหละ  มาเป็นตัวตัดสิน  เขาเล่าว่า  เขาบอกว่า  เขารำ่ลืิอกันว่า องค์นี้ดี 
องค์นี้ขลัง  องค์นี้มีประสบการณ์  อย่างโน้น  อย่างนี้

         สรุปก็คือนิยายขายพระเครื่อง   เริ่มต้นมาจากตรงนี้  เพราะไม่มีใครเอาหลักฐานที่
เป็นรูปธรรมให้เห็นเลย

         ไม่เหมือนกับกฏแห่งกรรม  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  จะมีผลทันตาให้เห็น  แม้ผลแห่งกรรม
จะไม่เห็นทันตา เพราะต้องใช้เวลาในการคืนสนอง แตผลที่สนองทางโลก  มักทันตาเห็นเสมอ


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 17 พฤษภาคม 2020, 19:32:28
                           (https://4upic.com/images/2020/05/17/aOQzXU.jpg) (https://4upic.com/image/aOQzXU)

                            เนื้อเมฆพัด หลวงพ่อทวดหัวมวย  วัดอ่างทอง รุ่นปี  2514


                                

                          (https://4upic.com/images/2020/05/17/aO08ii.jpg) (https://4upic.com/image/aO08ii)

                        หลวงปู่โต๊ะ  หลังยันต์นะ


     แต่แม้พุทธคุณในพระเครื่องเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น  แต่ก็ถือว่าเป็นแนวปฎิบัติที่คนเชื่อถือมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เราจะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้  ถ้าไม่มีจริง  คนคงเลิกเคารพไปนานแล้ว  ก็คงจะพอ ๆ กับบ้องไฟพระยานาค  เห็นกับตา
แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง

     ก็สรุปตรงนี้ว่า   เราต้องเชื่อว่าพุทธคุณในองค์พระเครื่องมีจริง ๆ  แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม


     แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะไม่จริง    และไม่ควรเชื่อถืออย่างยิ่ง   กับความเชื่อที่ว่าพระมีราคาแพงเพราะมีพุทธคุณสูง
พระที่ราคาไม่แพง    เป็นพระที่มีพุทธคุณน้อย  หรือไม่มีพุทธคุณ

     ราคาพระเครื่องเป็นผลงานของระบบการค้า  คนละเรื่องกับพุทธคุณในองค์พระ  ถูกหรือแพงเป็นการปั่นราคา
ของพ่อค้า  เป็นการค้าขายในรูปของวัตถุที่เก่าแก่หรือหายาก  ดังนั้น  คนที่แสวงหาแต่พระที่มีราคาแพง ๆ  จึง
ไม่ใช่แสวงหาพุทธคุณ  แต่เป็นการหลงวัตถุ


     พระที่สร้างมาโดยหลวงพ่อเดียวกัน  รุ่นเดียวกัน  พิธีเดียวกัน   ราคายังไม่เหมือนกันเลย


     พระพุทธเจ้าเปรียบคนเราเหมือนดอกบัวสี่เหล่า  บางส่วนก็วิเคราะห์หาเหตุผลได้   บางส่วนก็เชื่อทันทีในสิ่งที่
มองเห็น  โดยลืมคิดไปว่าสิ่งที่มองเห็นนั้น  ไม่ใช่จะเป็นเรื่องจริงเสมอไป

     การหลอกลวงสารพัดรูปแบบในวงการพระเครื่องจึงดำเนินต่อไป  โดยอาศัยคนเหล่าหนึ่งเหล่าใดในสี่เหล่า
เป็นตัวประกอบ


     


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 19 พฤษภาคม 2020, 08:51:49
 

โลกของธรรมะ......โลกของพระเครื่อง....ก่อเกิดมาจากที่เดียวกัน  แต่เส้นทางต่างกัน






โลกของธรรมะ.......เป็นโลกที่สงบ ร่มเย็น  มีความเอื้ออาทร   ให้อภัย  รักใคร่กลมเกลียวฉันท์พี่น้อง
                        ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เพราะโลกของธรรมะ   ไม่มีกำไร-ขาดทุน  

โลกของพระเครื่อง....มีแต่ความเร่าร้อน   วุ่นวาย  เอารัดเอาเปรียบ  ฉ้อฉล  ด่าทอ  ทะเลาะเบาะแว้ง
                         โกรธเคืองเคียดแค้น  ชิงชัง  อิจฉาริษยา  กอบโกย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน

เพราะโลกของพระเครื่อง  คือธุุรกิจ  ที่มีกำไร-ขาดทุน

ก่อกำเนิดมาจากที่เดียวกัน.....แต่กลายเป็นสองเส้นทางที่ห่างไกลกันเหลือเกิน

จะเข้่าสูโลกของธรรมะ   หรือจะเข้าสูโลกของพระเครื่อง   ทุกคนตัดสินใจได้ด้วยตนเอง

     เส้นทางสุดท้ายที่จะบรรจบกันได้....ใช้พระเครื่องเพียงเพื่อเป็นพุทธานุสติเท่านั้น  ระลึกถึงกรรม  ผลแห่งกรรม
ไม่มีใครที่จะหลีกหนีกรรมได้พ้น  ฉ้อฉล หลอกหลวง ทำให้ผู้อื่นหลงผิด  ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์  เป็นกรรมชั่ว
ที่จะต้องชดใช้ทั้งสิ้น   การให้อภัย  ไม่ถือโทษโกรธเคือง เป็นกรรมดี  ที่จะทำให้มีชีวิตที่เป็นสุขในบั้นปลาย

     การสร้างพระเป็นรูปของพระพุทธเจ้า (พระพุทธรูป)  ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นพระปลอม  และเป็นบาป
เพราะสร้างแล้วคนเอาไปเคารพบูชาได้  แต่การสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทวด  รุ่นใดรุ่นหนึ่งขึ้นมาด้วยเจตนา
แบบนี้เรียกว่าพระปลอม   และเป็นบาป  เป็นกรรมชั่ว  เพราะต้องการหลอกลวงให้เข้าใจผิด คนที่ซื้อไป
ต้องเสียทรัพย์  เสียความรู้สึก  เป็นทุกข์  เมื่อรู้ความจริง  ผู้สร้างพระจึงหลีกหนีกรรมไม่พ้น  แต่ถ้าทำขึ้น
มาใช้เอง  เก็บไว้เอง  ไม่แบ่งปันกันแบบซื้อขาย  หรือแลกเปลี่ยน  หรือเสนอแนะให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นของจริง
ก็ไม่น่าจะเป็นบาปมากนัก



                         (https://4upic.com/images/2020/05/19/a7WRJT.jpg) (https://4upic.com/image/a7WRJT)

                         (https://4upic.com/images/2020/05/19/a7WvSC.jpg) (https://4upic.com/image/a7WvSC)

                         (https://4upic.com/images/2020/05/19/a7IDoY.jpg) (https://4upic.com/image/a7IDoY)


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 22 พฤษภาคม 2020, 10:30:20
                                    (https://4upic.com/images/2020/05/22/a7Oiwl.jpg) (https://4upic.com/image/a7Oiwl)

ก็แค่ขำ...ขำ    เป็นพอ

พระพิมพ์แปลก ๆ

   พระองค์นี้เก่าแน่นอน    ไม่ต้องนำเข้าเครื่องจับเท็จ  อย่างต่ำสุดก็ต้อง  80  ปี  หรือกว่านั้น
เพราะเก็บมาตั้งแต่รุ่นวัยกระทง   จนถึงวัยตกกระในทุกวันนี้

    รูปร่างเหมือนพระสมเด็จ  แต่รับประกันว่าไม่ใช่สมเด็จวัดระฆังแน่นอน  ได้มาจากผู้มีบารมีให้มา
ดูแล้วน่าจะมีองค์เดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้  เพราะไม่เคยเห็นที่ไหนอีกเลย

   เป็นพระพิมพ์  2  หน้า  อีกด้านก็เป็นแบบนี้  แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร ใครสร้าง
เพราะเรามีหน้าที่เก็บอย่างเดียว

   เขาเล่าลือกันว่า  พระยิ่งเก่ายิ่งขลัง  ก็แปลกดีทำไมยิ่งเก่ายิ่งขลัง  ลงให้ดูก็เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลง
ของเนื้อพระ  พระเก่า ๆ ต้องเป็นแบบนี้   เก่าจนแห้ง จนราน  แถมมีคราบฝ้าขาวจับหน้าองค์พระ
มองดูเป็นแผ่นบาง ๆ  จนบางส่วนจะเป็นสะเก็ดลอกออกมา

   พระนี้เป็นพระเนื้อผงดินสอพอง   ที่เรามักจะเรียกว่าเป็นผงพุทธคุณ  ที่เกจิผู้สร้างพระสมัยก่อน
จะใช้ดินสองพองเขียนอักขรเลขยันต์  ทำพิธีปลุกเสก  แล้วลบผงดินสองพองนั้นเอามาสร้างพระเครื่อง
พระรุ่นก่อนจึงเข้มขลัง  จริงไม่จริงไม่รู้  แต่ว่าตามตำนานเท่านั้น

   ใครเคยพบเห็นเล่าให้ฟังบ้างก็ดี


                                                  (https://4upic.com/images/2020/05/22/a7HkQg.jpg) (https://4upic.com/image/a7HkQg)


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: numchai42 ที่ 24 พฤษภาคม 2020, 08:26:00

                                                                  (https://4upic.com/images/2020/05/24/aBcjhC.jpg) (https://4upic.com/image/aBcjhC)


พระสมเด็จหลวงปู่นาค  วัดระฆังโฆสิตาราม  สร้างปี    2495

      อายุพระ   60  กว่าปี   เนื้อแกร่ง  น่าจะผสมปูนชิเมนต์ขาวมาก    วรรณะออกสีเหลืองดอกพิกุล  เป็นพระพิมพ์แปลก  ๆ  อีกพิมพ์หนึ่ง  เขาเล่าว่า
(นิยาย)หลวงปู่นาคสร้างพระพิมพ์แปลก ๆ  ไว้มาก  แต่วงการไม่นิยม  จึงไม่ค่อยเห็น  

      นิยายก็คือนิยาย  ปัจจุบันนี้นิยายขายพระเยอะมาก  ดูแล้วชักสับสนและมั่วพอสมควร  ทั้งดันพระปลอมให้เป็นพระแท้   ทั้งดันพระที่คนไม่ค่อยนิยม  ชักนำ
ว่าไปปลุกเสกในรุ่นนิยม  เป็นต้น   คนที่หันมาเล่นพระใหม่  ๆ  ก็คงหลงทางกันพอสมควร

      ถ้ามองในแง่ดีก็จะดี   เพราะจะทำให้ตลาดพระกว้างขวางขึ้น   พระปลอมจะได้หมดไป   เพราะพระปลอมจะกลายเป็นพระแท้ไปทั้งหมด

      ถ้าเล่นพระเพียงเพื่อเป็นพุทธานุสติ หรือเพื่อพุทธานุภาพ  ก็ไม่น่าจะมีปัญหา  แต่ถ้าเป็นแบบพุทธพานิชก็น่าเป็นห่วง

      พระเข้มขลังหรือศักดิ์สิทธิ์หรือไม่เพียงใด  ย่อมต้องอาศัยกรรมเป็นตัวตัดสิน   เมื่อกรรมส่งผล  จะแขวนพระราคา  10  ล้าน  100  ล้าน  ก็หลีกหนีกรรม
ไม่พ้น  เราจึงเคยเห็นคนที่แขวนพระเต็มคอเสียชีวิตุตั้งมากมาย   ขณะที่คนที่ไม่แขวนพระอะไรเลย  กลับรอดชีวิตก็มี

     สร้างแต่กรรมดีเถอะ  ลดละเลิกความโลภ  ความโกรธ  ความหลง เลิกโกหกหลอกลวง มีเมตตากรุณา  ให้อภัยแก่กันและกัน  ถือศีล  5  เป็นนิจสิน
แล้วพระที่คล้องอยู่ในคอก็จะเข้มขลังยิ่งขึ้น


          บางคนบอกว่า  ฉันฉ้อฉันโกงก็จริง  แต่ฉันก็ทำบุญทำทาน  ทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร 

          เขาอาจจะลืมไปว่า  บุญกับบาปเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันเข้ากันไม่ได้  บุญก็อยู่ส่วนบุญ  บาปก็อยู่ส่วนบาป  ทำดีได้ดี   ทำชั่วได้ชั่ว   ทำแต่ดีอย่าทำชั่ว
ชีวิตจึงจะเจริญรุ่งเรือง


หัวข้อ: Re: พระเครื่อง...เรื่องขำ..ขำ
เริ่มหัวข้อโดย: MANU1973 ที่ 11 ตุลาคม 2022, 21:01:43
 gd:
เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค "เว็บมหาชน คนมหาโชค"
 
คติ "กินอยู่อย่างพอเพียง เสี่ยงโชคแต่พอควร"
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย
คำเตือน -ทางเว็บไม่ได้ทราบเป็นการล่วงหน้าว่าหวยทางกองสลากจะออกตัวไหน แต่เราใช้การวิเคราะห์หรือประเมินตามหลักสถิติ
หรือวิธีการอื่นว่า เลขที่มีโอกาสออกมากที่สุดในแต่ละงวดควรจะเป็นเลขอะไรเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ การเล่นหวยถือว่ามีความเสียงมาก