อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน
28 เมษายน 2024, 14:31:28 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
"สนับสนุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น"

ผลงานห้อง VIP (งวด 16 เม.ย.67)
อ.apichoke ถูกสามตัวสลับ 589 ถูกตัวกลับเลขท้าย รว.ที่๑ 89 ถูกเลขท้าย๒ตัว 79
ถูกปักหลักสิบเต็มๆ 9 เลขเด่นวันหวยออก ถูกเด่น 5

ออก 598-79
   หน้าแรก   หวยรัฐบาล SUPER VIP หนังสือหวย VIP สมัคร vip ช่วยเหลือ แท็ก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก Register  
ฝากภาพ i-pic
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 [17] 18 19 20   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แล้วใครล่ะ...จะไม่รัก..  (อ่าน 829832 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #400 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 17:22:44 »

บางเรื่องของในหลวง ซึ่งเราอาจยังไม่เคยรู้


 
 คลิกอ่าน ...http://goo.gl/8GkeHA ..













พระบรมฉายาลักษณ์ ...หายาก

สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงรอเข้าเฝ้าฯ "พระภูมิพโลภิกขุ"
สมณนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ขณะทรงผนวช พ.ศ. ๒๔๙๙




พระบรมฉายาลักษณ์ "ในหลวงกับของขวัญ"
 สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า(สมเด็จย่าของในหลวง) ,
ในหลวงรัชกาลที่ ๘ และ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรา ทรงเล่นของเล่น และเตรียมของขวัญ
 คลิกชม อ่าน http://goo.gl/CmYVhh ..
วันนี้วันเด็กฯ พระองค์จึงทรงมีพระเมตตาถึงเด็กๆ ...




  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 ตุลาคม 2016, 08:51:40 โดย FIRE » บันทึกการเข้า

FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #401 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 17:23:50 »

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และ พระองค์ทีฯ

<a href="http://www.youtube.com/v/BQzgeDPg6sE?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=00FFFF&amp;amp;&amp;aborder=&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/BQzgeDPg6sE?version=2&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;color3=00FFFF&amp;amp;&amp;aborder=&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>
พระองค์ทีฯ รักและเทิดทูน ทูลกระหม่อมพ่อ




ข่าวที่เกี่ยวข้อง http://goo.gl/qTi6Zv

คลิกชมคลิป https://www.facebook.com/video.php?v=758724517568052&l=7734437367198665313

https://www.youtube.com/watch?v=BQzgeDPg6sE






สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงพาพระราชโอรส พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงเลือกซื้อของด้วยพระอิริยาบถสบายๆ ในห้างสรรพสินค้าแกเลอเรีย คอฟฮอฟ ใจกลางเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี.

ที่มา : ภาพข่าวจากไทยรัฐ
คลิกชมคลิป ..เผื่อว่า บางท่านอาจยังไม่ได้ชม

  
https://www.facebook.com/video.php?v=758724517568052&l=7734437367198665313





คลิก http://goo.gl/APsr7V .. "ชมคลิป" ทรงสกีหิมะ
..สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และ พระองค์เจ้าทีปังกรฯ ทรงพระเกษมสำราญ ณ ประเทศเยอรมนี Germany

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 มกราคม 2015, 18:24:11 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #402 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 17:28:22 »



 คลิกชม คลิปข่าว http://goo.gl/KCqHZY

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทาน ออกให้บริการตรวจรักษาโรคแก่ราษฎร เชียงราย-น่าน







  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #403 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 17:29:26 »



ประกาศสำนักพระราชวัง
 ด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ เยือน “เยอรมนี – สิงคโปร์” ๑๔-๑๘ ม.ค.นี้






คลิปข่าว http://goo.gl/UT84R2
ช็อกโกแลต Ritter SPORT ทูลเกล้าฯ ถวายเค้กช็อกโกแลต ในโอกาสพระชนมายุครบ ๕ รอบ
ขณะเสด็จฯ เยือน Ritter SPORT
ประเทศเยอรมนี




คลิปข่าว http://goo.gl/UT84R2
คลิก ชมคลิปข่าว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ เยือนเยอรมนี
(ภาพข่าว พระอิริยบถน่ารักๆ ของพระองค์ ขณะทรงทดลองประทับบนมอเตอร์ไซค์ BMW)




  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #404 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 17:46:13 »



คลิปข่าว  http://goo.gl/YTvUDx สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ทรงวาดภาพฝีพระหัตถ์ภาพแพะ ลงพระนามาภิไธย "สิรินธร"
ซึ่งจัดแสดงไว้ในงาน ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ..ชมงานได้ ถึง 6 ก.พ. 58




สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ดังนี้
คลิปข่าว http://goo.gl/mL9H0g
พระราชกรณียกิจสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อังคาร ที่ 13 ม.ค.58






คลิปข่าว http://goo.gl/ksukKd สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
เสด็จฯ โรงเรียน ตชด.ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์- จ.เพชรบุรี
..เพื่อทรงติดตามผลการดำเนินงาน และทรงรับราษฎรผู้เจ็บป่วยรักษาอย่างต่อเนื่องไว้ในพระราชานุเคราะห์



สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
เสด็จฯ โรงเรียน ตชด.ในพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์-เพชรบุรี (13 ม.ค. 58)





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #405 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 17:59:16 »










  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 ตุลาคม 2016, 08:56:49 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #406 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 18:08:36 »


ยุทธนาวีที่เกาะช้าง

ยุทธนาวีที่เกาะช้างเป็นเหตุการณ์การรบทางเรือ ซึ่งเกิดขึ้นสืบเนื่องจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส เป็นเหตุการณ์ซึ่งแทรกเข้ามาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังรบติดพันกันในยุโรป กล่าวคือในเดือนกันยายน พ.ศ. 2483 ขณะที่ฝรั่งเศสจะประกาศสงครามกับเยอรมนี ฝรั่งเศสได้ขอให้รัฐบาลไทย ทำสัญญาไม่รุกรานกันทางแหลมอินโดจีน รัฐบาลไทยได้ตอบฝรั่งเศสไปว่า ไทยยินดีจะรับข้อตกลงตามคำขอของฝรั่งเศส แต่ขอให้ฝรั่งเศสตกลงบางประการ คือให้ฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดนให้ถูกต้อง ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้ถือแนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไป คืนให้ไทย เป็นต้น แต่ปรากฏว่าไม่เป็นที่ตกลงกัน ต่อมาราษฎรได้เดินขบวนแสดงประชามติ เรียกร้องดินแดนที่เสียไปอย่างหนักและรุนแรงยิ่งขึ้น การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติวิธี ฝรั่งเศสได้โจมตีประเทศไทยก่อน โดยส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 อันเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ใช้กำลังทหารเข้าสู้รบกันทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ สำหรับกำลังทางเรือได้มีการรบกันที่บริเวณด้านใต้ของเกาะช้าง ระหว่างกำลังทางเรือของไทย และของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2484
เมื่อฝรั่งเศสเริ่มรุกรานประเทศไทย โดยส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนมแล้ว กองทัพเรือเริ่มดำเนินการตามคำสั่งในแผนชั้นต้นนั้น ได้จัดส่งกำลังไปป้องกันตำบลคลองใหญ่ จังหวัดตราด อันเป็นตำบลชายแดนสุดทางตะวันออก ซึ่งติดต่อกับเขตอินโดจีนฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่อป้องกันประเทศ และให้เกิดความอบอุ่นใจแก่ราษฎรในเขตนั้น และได้เริ่มทำการลำเลียงทหารนาวิกโยธินอันเป็นกำลังส่วนใหญ่ของกองพลจันทบุรี ไปยังจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด
การลำเลียงทหารอาวุธยุทโธปกรณ์ ยุทธสัมภาระ และอื่นๆ ไปยังจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด ในระหว่างกรณีพิพาทครั้งนี้รวมทั้งสิ้น ไม่น้อยกว่า 15 ครั้ง แต่ละครั้งมีการจัดกำลังทางเรือคอยควบคุมและคุ้มกันตามยุทธวิธีทุกครั้ง
สำหรับแผนขั้นต่อมา กองทัพเรือได้จัดให้มีการลาดตระเวนค้นหาข้าศึก นอกจากนั้นเพื่อป้องกันการยกพลขึ้นบกของข้าศึก ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย กองทัพเรือได้รวมกำลังเป็นครั้งคราว แถวบริเวณเกาะช้างและเกาะกูด ได้ดำเนินการลาดตระเวน จัดการรักษาด่าน ตรวจด่าน ด้วยการที่กองทัพเรือมารวมกำลัง อยู่ในบริเวณนี้ ย่อมทำความอบอุ่นใจให้แก่ราษฎรชายฝั่งตะวันออก บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด และตำบลคลองใหญ่ ให้ความปลอดภัยแก่การเดินเรือ การค้าขายตามชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย

เหตุการณ์ก่อนการรบ
ก่อนเกิดเหตุการณ์การรบ กองทัพเรือได้จัดกำลังทางเรือ 1 หมวด ไปปฏิบัติการอยู่แถบบริเวณเกาะช้าง วันที่ 14 มกราคม 2484 หมวดเรือชุดใหม่ในบังคับบัญชาของนายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์ เดินทางไปผลัดเปลี่ยนหมวดเรือที่รักษาการอยู่แต่เดิม เรือชุดใหม่นั้นประกอบด้วยเรือต่างๆ ดังนี้
1. เรือหลวงธนบุรี มีนายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์ เป็นผู้บังคับการเรือ
2. เรือหลวงระยอง มีนายนาวาตรี ใบ เทศนะสดับ เป็นผู้บังคับการเรือ
3. เรือหลวงสงขลา มีนายนาวาตรี ชั้น สิงหชาญ เป็นผู้บังคับการเรือ
4. เรือหลวงชลบุรี มีนายเรือเอก ประทิน ไชยปัญญา เป็นผู้บังคับการเรือ
5. เรือหลวงหนองสาหร่าย มีนายเรือเอก ดาวเรือง เพชร์ชาติ เป็นผู้บังคับการเรือ
6. เรือหลวงเทียวอุทก
หมวดเรือดังกล่าวจอดเรือแยกกันตามจุดกำหนด เรือหลวงสงขลา เรือหลวงระยอง เรือหลวงชลบุรี จอดอยู่รวมกันด้านใต้เกาะช้าง เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงหนองสาหร่าย เรือหลวงเทียวอุทก จอดอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะง่าม
ในบ่ายวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2484 ข้าศึกได้ส่งเครื่องบินทะเล ออกทำการลาดตระเวน ในทะเล บริเวณเกาะช้าง และเกาะกูด 1 ลำ เกาะเสม็ด (ระยอง) 1 ลำ และเกาะสีชัง 1 ลำ ในการนี้ กองทัพเรือได้สั่งให้เครื่องบินทะเลขึ้นขับไล่
เช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 เวลา 06.00 น. ข้าศึกได้ส่งเครื่องบินทะเล 1 ลำ มาทำการ ลาดตระเวนแถวบริเวณเกาะช้างซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เครื่องบินดังกล่าวนอกจากมีความประสงค์ในการลาดตระเวนแล้ว ยังมีความประสงค์ในการที่จะทำลายอาคารที่เกาะง่ามอีกด้วย เครื่องบินทะเลลำนี้มีขนาดใหญ่ ปีกชั้นเดียว 2 เครื่องยนต์ ทาสีบรอนซ์ขาว
ครั้งแรกเครื่องบินทะเลลำนี้ ได้บินผ่านเกาะง่ามไปทางเหนือ เข้าใจว่าคงไม่เห็นเรือตอร์ปิโดของเรา ซึ่งจอดอยู่บริเวณนี้ ครั้นแล้วจึงได้หวนกลับลงมาทางใต้จะบินผ่านเกาะง่าม เพื่อทำลายอาคารที่นั่น เรือหลวงธนบุรี และเรือหลวงหนองสาหร่าย ซึ่งจอดอยู่ที่เกาะลิ่มได้แลเห็น เครื่องบินทะเลลำนี้เช่นกัน แต่มิได้ทำการยิงเพราะอยู่ไกลสุดระยะปืน
ก่อนหน้าที่เครื่องบินทะเลข้าศึกจะได้บินผ่านขึ้นไปทางเหนือ ทหารในเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี กำลังหัดกายบริหารตามตารางการฝึก และปฏิบัติหน้าที่ภายหลังการตื่นนอนอยู่ ซึ่งทหารเรือถือเป็นกิจวัตรประจำวัน ที่จะทำให้ทหารว่องไวและมีสุขภาพสมบูรณ์ เพื่อพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ครั้นเมื่อได้รับรายงานว่าได้ยินเสียงเครื่องบินข้าศึก ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ทหารเข้าประจำสถานีต่อสู้อากาศยานทันที ในชั่วเวลาไม่ถึง 1 นาที ทหารก็เข้าประจำปืน 75 มม. ปืนกล 20 มม. และปืนกล 8 มม. ตลอดจนปืนเล็กยาวพร้อม ต่อมาสักครู่หนึ่งจึงได้เห็นเครื่องบินทะเลข้าศึก โผล่ออกมาจากเขาเกาะช้าง บ่ายหน้าไปทางใต้
การที่เครื่องบินทะเลข้าศึกบินหวนกลับลงมาทางใต้ จะผ่านเกาะง่ามนี้ ก็ด้วยความมุ่งหมายที่จะมาทำการทิ้งระเบิดอาคารบนเกาะง่าม โดยทั้งนี้เครื่องบินได้เริ่มทิ้งระเบิดลงมาเป็นจำนวน 2 ลูก แต่มิได้ถูกที่หมาย ระเบิดได้ตกลงในน้ำ ระหว่างช่องแหลมเทียนใต้เกาะช้างกับเกาะง่าม ในขณะนั้นปืนต่อสู้อากาศยาน และปืนกล ของเรือตอร์ปิโดทั้งสองต่างได้ยิงกระหน่ำออกไปในระยะไม่เกิน 2,000 เมตร กระสุนหลายนัดได้ไประเบิดอยู่รอบๆ ลำ เครื่องบินทะเล เครื่องบินทะเลได้พยายามบินขึ้นระดับสูง แต่ปรากฏว่าได้ถูกกระสุนที่ปีกขวา และตอนหัวมีไฟลุกขึ้นทันที แล้วได้บินถลาต่ำลงทุกที และหายไปทางทะเลด้านใต้เกาะหวาย
ในโอกาสเดียวกับที่ส่งเครื่องบินทะเลออกทำการลาดตระเวน ในเช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2484 แล้ว กำลังทางเรือของข้าศึกได้อาศัยความมืด และความเร็วรุกล้ำเข้ามาทางด้านใต้เกาะช้างมีจำนวนด้วยกัน ทั้งหมด 5 ลำ เรือเหล่านี้ได้แยกออก เป็น 3 หมู่ ดังนี้คือ
หมู่ที่ 1 มีเรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งมี นายนาวาเอก เบรังเยร์ เป็นผู้บังคับการเรือ เข้ามาทางช่องทางด้านใต้ของเกาะหวายและเกาะใบดั้ง
หมู่ที่ 2 เรือดูมองต์ ดูรวิลล์ มีนายนาวาเอก ตูซาแชงค์ เดอ กิแอฟร์คูรต์ และ เรืออามิราล ชาร์เนร์ มีนายนาวาโท เลอ คาลเวช์ เป็นผู้บังคับการเรือเข้ามาทางช่องด้านใต้ระหว่างเกาะคลุ้มกับเกาะหวาย
หมู่ที่ 3 เรือมาร์น มีนายนาวาตรี เมร์คาดิเอร์ เป็น ผู้บังคับการเรือ และเรือตาฮูร์ มีนายนาวาตรี มาร์ค เป็นผู้บังคับการเรือเข้ามาทางช่องด้านตะวันตก ระหว่างเกาะคลุ้มกับแหลมบางเบ้าของเกาะช้าง
ส่วนเรือดำน้ำและเรือสินค้าติดอาวุธคงรออยู่ด้านนอกในทะเล และไม่ได้เข้าทำการรบ เรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งเป็นเรือนำได้แล่นเข้ามา ในระยะ 12,000 เมตร จากเกาะง่าม ก็ได้ระดมยิงอาคารบนเกาะง่าม และเมื่อได้เห็นเรือตอร์ปิโดทั้ง 2 ลำของไทย คือเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรีทำการยิงจึงได้เปลี่ยนเป้ามาเป็นทำการยิงเรือตอร์ปิโดทั้งสองทันที
กองเรือไทย
เรือปืนยามฝั่ง ธนบุรี
เรือตอร์โด สงขลา
เรือตอร์ปิโด ชลบุรี
กองเรือฝรั่งเศส
เรือลาดตะเวน ลามอตต์ปิเกต์
เรือสลุปอามิราล ชาร์เนร์
เรือสลุปดูมองต์ ดูร์วิลล์
เรือช่วยรบ ตาฮูร์
เรือช่วยรบ มาร์น

การต่อสู้ของเรือตอร์ปิโด
ในการต่อสู้ระหว่าง เรือตอร์ปิโดของฝ่ายไทยทั้ง 2 ลำ คือ เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี กับกำลังทางเรือของข้าศึก ได้ทำการต่อสู้กันดังนี้ เรือหลวงสงขลาได้ระดมยิงเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ เพียงลำเดียว เพราะถือว่าเรือลำนี้เป็นเป้าสำคัญ เป็นกำลังส่วนใหญ่ที่ทัพเรือมุ่งจะทำลาย ประกอบกับมุมหันของปืนจำกัด ไม่สามารถจะแยกไปจับเป้าเรือลำอื่นได้ ส่วนเรือหลวงชลบุรีได้ทำการยิงโดยแบ่งปืนออกเป็น 2 หมู่ หมู่หนึ่งทำการยิงหมู่เรือที่ 2 อีกหมู่หนึ่งทำการยิงหมู่เรือที่ 3 ของข้าศึก


  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #407 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 18:10:19 »

การรบของเรือหลวงสงขลา
เวลาประมาณ 06.10 น. หลังจากที่ได้ทำการยิงเครื่องบินทะเลข้าศึกแล้ว เรือหลวงสงขลาได้เห็นเรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งทหารในเรือรู้จักชื่อและรูปร่างเป็นอย่างดีโผล่ออกมาจากเกาะหวายเรือข้าศึกลำนี้ แล่นด้วยความเร็วสูง ทิศหัวเรือประมาณตะวันออกเฉียงเหนือ จึงสั่งปืนเตรียมยิงกราบขวาที่หมาย เรือลาดตระเวนข้าศึก ซึ่งในขณะนี้อยู่ห่างในระยะประมาณ 12,000 เมตร และได้เริ่มทำการยิงทันที แม้จะได้แลเห็นไฟแวบขึ้น เป็นคราวๆ จากปากกระบอกปืนเรือข้าศึก ซึ่งในตอนนี้เรือลามอตต์ปิเกต์ ได้ทำการระดมยิงเกาะง่าม
เมื่อเรือหลวงสงขลาได้ทำการยิงไปเพียง 3 ตับเท่านั้น กระสุนก็ได้ถูกเรือลาดตระเวนข้าศึก ที่บริเวณท้ายเรือเห็นประกายระเบิดของกระสุนกระจายออกแล้วมีควันพลุ่งขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจน ฝ่ายเราถึงแม้เรือจะเล็กกว่า อาวุธด้อยกว่าก็ได้ทำการยิงข้าศึก ก่อนที่ข้าศึกจะแลเห็นซ้ำยังยิงถูกก่อนอย่างรวดเร็วด้วย เมื่อเป็นที่ปรากฏแก่ทหารทั้งหลายว่า เรายิงถูกเรือข้าศึกแล้ว และด้วยความดีใจต้นปืนคือ นายเรือเอก นัย นพคุณ จึงสั่งให้ปืนทุกกระบอกยิงเร็วซ้ำเติมต่อไปอีกโดยทันที
เมื่อเรือลาดตระเวนข้าศึกรู้สึกตัวว่า มีเรือฝ่ายเราทำการยิงมาจากเกาะง่าม จึงได้ทำการเปลี่ยนเป้าจากเกาะง่ามมายิงเรือหลวงสงขลา
การยิงของเรือลาดตระเวนข้าศึก ในตอนแรกนี้แม้จะได้กระทำอย่างหนัก แต่กระสุนตกกระจายมาก กระสุนได้ไปตกที่บนฝั่งเกาะช้าง บนเกาะง่าม และบริเวณใกล้ๆ กับเรือตอร์ปิโด ทั้ง 2 ของเรา เรือฝ่ายเราไม่ถูกกระสุนข้าศึกอยู่เป็นเวลานาน ทั้งนี้นอกจากทัศนวิสัยไม่ดีพอแล้ว ยังมีเกาะเป็นฉากอยู่ข้างหลังด้วย
ต่อมาอีกสักครู่ เรือหลวงสงขลาได้แลเห็นเรือข้าศึกหมู่ที่ 2 จำนวน 2 ลำ โผล่เข้ามาทางช่องระหว่าง เกาะคลุ้มกับเกาะหวาย และเรือข้าศึกหมู่ที่ 3 จำนวน 4 ลำ โผล่เข้ามาทางช่องตะวันตกระหว่างเกาะคลุ้มกับ แหลมบางเบ้าเกาะช้าง และเรือเหล่านี้ได้ช่วยกันระดมยิงเรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรีอย่างหนักด้วยเช่นกัน
เรือหลวงสงขลามิได้ทำการยิงตอบเรือทั้งสองหมู่นี้เลย เพราะมุมหันของปืนจำกัด ปล่อยให้ตกเป็นหน้าที่ของเรือหลวงชลบุรี
เรือลาดตระเวนข้าศึกได้แล่นกลับไปกลับมาทำการยิง และร่นระยะใกล้เข้ามาตามลำดับ เมื่อสายมากขึ้น และท้องฟ้าสว่างทัศนวิสัยดีขึ้น เรือหลวงสงขลา จึงได้เริ่มถูกยิงมากขึ้นทุกทีกระสุนที่ยิงมาตกอยู่รอบลำเรือ การถูกยิงของเรือหลวงสงขลานี้ ไม่สามารถทราบได้ว่าเรือข้าศึกลำใดหรือทางด้านใดยิงถูก เพราะเรือข้าศึกทั้งหมดได้ทำการระดมยิงมาพร้อมๆ กัน นอกจากนั้นเรือหมู่ที่ 2 และที่ 3 ของข้าศึก ซึ่งถูกเรือหลวงชลบุรีต้านทานอยู่ กระสุนที่พลาดจากเรือหลวงชลบุรี ก็ได้มาตกที่เรือหลวงสงขลาอีกด้วย แม้ทหารประจำปืนจะได้เสียชีวิตไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารประจำปืน 75 มม. กระบอกหัว และทหารประจำปืนกล แต่เสียงปืนของเรือหลวงสงขลา ก็ยังคงดังอยู่ตลอดเวลา คนประจำปืนคนใดตายไปหรือได้รับบาดเจ็บจนทำหน้าที่ไม่ได้ ทหารที่ทำการลำเลียงกระสุนก็เข้ามาทำหน้าที่แทน และทำการยิงต่อสู้ข้าศึกต่อไปอีก เรือหลวงสงขลาบอบช้ำน้ำเข้าเรือ ทำให้เรือต่ำลงไปทุกทีจนแปล้น้ำ โดยที่บริเวณท้ายเรือและห้องนายทหาร ถูกยิงมากกว่าที่แห่งอื่น ทั้งเกิดไฟไหม้ตอนกลางลำและท้ายเรือหมดความสามารถ ของทหารประจำเรือจะดับได้ กับลูกปืนที่ลำเลียงขึ้นมาจากคลังก็หมดลง คลังลูกปืนท้ายน้ำท่วมเรือหมดความสามารถ ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้ต่อไปอีกได้แล้ว ผู้บังคับการเรือจึงสั่งให้ทำการสละเรือใหญ่ เมื่อเวลาประมาณ 06.45 น. เรือหลวงสงขลาได้ทำการต่อสู้กับเรือข้าศึกที่ใหญ่กว่าและมีอำนาจปืนมากกว่าอยู่เป็นเวลาประมาณ 35 นาที

การรบของเรือหลวงชลบุรี
เรือหลวงชลบุรี จอดอยู่ทางตะวันตกของเกาะง่ามบริเวณเดียวกัน กับเรือหลวงสงขลา ห่างจากเรือหลวงสงขลา ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 300 เมตร เมื่อเรือหลวงชลบุรีได้ทำการยิงเครื่องบินทะเล ของข้าศึกร่วมกับเรือหลวงสงขลา จนกระทั่งเครื่องบินทะเลของข้าศึกถูกยิง และหายลับไปดังได้กล่าวมาแล้ว ในตอนต้นเวลาประมาณ 06.10 น. เรือหลวงชลบุรีก็ได้เห็นเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์โผล่ตอนหัวเรือออกมาจากเกาะหวาย ซึ่งเมื่อก่อนขณะทำการยิงเครื่องบินทะเลข้าศึกได้เห็นอยู่ก่อนแล้ว แต่เนื่องจากแลเห็นแต่ตอนท้ายเรือ ซึ่งยังไม่ลับเกาะหวายและไม่สู้จะชัดเจนนักโดยที่อยู่ในระยะไกลตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเรือหลวงธนบุรีกลับเข้ามาในอ่าว แต่เมื่อเห็นแสงไฟที่แลบออกมาจากปากกระบอกปืน และมีกระสุนยิงมาระเบิดขึ้นที่บริเวณเกาะง่าม จึงรู้ว่าไม่ใช่เรือหลวงธนบุรี จึงสั่งให้ปืนซึ่งมีนายเรือโท สีมา หงสกุล เป็นต้นปืนเริ่มทำการยิงในระยะ 12,000 เมตร โดยเอาเรือลำนี้เป็นเป้า ซึ่งเป็นเวลาพร้อมๆ กับเรือหลวงสงขลาทำการยิง เมื่อเรือหลวงชลบุรีได้ทำการยิงเรือลามอตต์ปิเกต์แล้ว เพียงชั่วเวลาอันสั้นนั้นเอง ก็ได้เห็นเรือข้าศึก แล่นเข้ามาอีก 6 ลำด้วยกัน เรือเหล่านี้ ได้เริ่มทำการระดมยิงมายังเรือตอร์ปิโดฝ่ายเราอย่างหนักในระยะประมาณ 8,000 เมตร
เมื่อเป็นเช่นนี้เรือหลวงชลบุรี จึงผละการต่อสู้จากเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ และโดยเหตุที่เห็นว่าเรือหลวงสงขลาได้ทำการต่อสู้อยู่แล้ว อีกประการหนึ่ง จึงหันมาทำการต่อสู้กับเรือข้าศึกทั้งสองหมู่ที่เข้ามาใหม่ โดยแบ่งปืนกระบอกหัวและกระบอกกลางยิงเรือข้าศึกหมู่ที่ 3 จำนวน 4 ลำ ปืนกระบอกท้ายยิงเรือข้าศึก หมู่ที่ 2 จำนวน 2 ลำ และทำการยิงอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ได้เป็นไปอย่างทรหด ลูกปืนข้าศึกที่ยิงมาตกรอบๆ เรือ ได้ระเบิดอยู่ ดังสนั่นหวั่นไหว
ในการต่อสู้นี้ ฝ่ายเราได้เห็นเรือรบขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเรือลำหน้าของหมู่ที่ 2 ถูกกระสุน ระหว่าง ปล่องทั้งสอง มีควันสีดำพลุ่งขึ้นมา และกระสุนได้ถูกที่ตอนท้ายเรืออีกหลายนัดต้องแล่นหลีกออกจากแนวไป เรือปืนซึ่งตามมาข้างหลังได้เร่งความเร็วขึ้นมาทำการบัง เพื่อประวิงการใช้ปืนเราและช่วยเหลือเรือลำนี้ เมื่อเรือข้าศึกหมู่ที่ 3 ถูกกระสุน ของฝ่ายเราเข้าได้เกิดรวนกันขึ้นจนเสียกระบวน แนวกระบวนซ้อนกันเป็นบางคราว ฝ่ายเราได้เห็นเรือ 2 ลำ ในหมู่นี้ถูกยิงจนไฟไหม้อย่างหนัก และเรืออีก 2 ลำ ได้เข้าทำการช่วยเหลือการระส่ำระสาย ได้เกิดมีมากขึ้น ปืนของเรือหลวงชลบุรีได้ยิงซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เรือทั้งสองหมู่นี้ ได้ทำการระดมยิงเรือหลวงชลบุรีอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา เช่นกัน กระสุนนัดแรก ที่ถูกเรือหลวงชลบุรีนั้น ทำให้เสาหักสะบั้นโค่นฟาดลงมาบนสะพานเดินเรือ ยามยอดเสาร่วงตกลงมากับเสาด้วย ขาขาดทั้งสองข้าง และมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ประมาณ 5 นาที กระสุนนัดต่อๆ มา ได้ถูกที่ข้างเรือตรงบันไดขวาที่แนวน้ำ ทางบริเวณห้องเครื่องจักรเหนือแนวน้ำ และนัดที่สำคัญถูกตรงท้ายเรือถังน้ำมันรั่ว น้ำมันไหลออกมาท่วมคลังลูกปืนท้าย นอกจากนั้นกระสุนของข้าศึกยังทำให้เกิดไฟไหม้ที่ตอนกลางลำ และตอนท้ายเรือ เรือได้เริ่มจมลงเรื่อยๆ ทหารประจำเรือได้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปหลายคน เมื่อลูกปืนที่ได้ลำเลียงขึ้นมาจากคลังได้ยิงไปหมดแล้ว และไฟก็ไหม้ จนทหารประจำเรือไม่สามารถจะดับได้ และเรือก็จมลงไปจนแปล้น้ำ ผู้บังคับการเรือ จึงสั่งให้ทำการสละเรือใหญ่ เมื่อเวลา 06.50 น.
ในขณะที่ทหารประจำเรือกำลังทำการสละเรือใหญ่นั้น ฝ่ายข้าศึกยังคงทำการระดมยิงอยู่อย่างไม่ลดละทหารต่างลงเรือเล็กหรือไม่ก็กระโดดน้ำ ว่ายเข้าฝั่งเพื่อเอาตัวรอดเรือรบฝรั่งเศสได้แล่นเข้ามาระยะใกล้ แต่มิได้ทำการช่วยเหลือทหารไทยที่ว่ายน้ำแต่ประการใด ซึ่งภายหลังฝ่ายฝรั่งเศสกล่าวว่า เพราะเหตุ ดังนี้
1. ระยะระหว่างเรือที่จมกับฝั่งเป็นระยะใกล้ จึงเห็นว่า ทหารไทย คงลงเรือเล็ก หรือว่ายน้ำไปได้เอง

2. มีเรือหาปลาหลายลำ จอดที่บริเวณนั้นแล้ว

3. อาจมีเรือหรือเครื่องบินฝ่ายไทยมาสมทบ เรือของฝรั่งเศสก็จะถูกโจมตีในระหว่างที่ทำการช่วยเหลืออันจะทำให้กำลังรบของฝรั่งเศสหย่อนไป
เมื่อทหารไทยที่ว่ายน้ำได้ออกไป ห่างจากเรือตอร์ปิโด ซึ่งกำลังไฟไหม้เป็นระยะทางมากแล้ว เรือหมู่ที่ 3 จึงได้ ยิงเรือหลวงชลบุรี จนกระทั่งจมมิดน้ำหายไป

การรบของเรือหลวงธนบุรี
ในตอนค่ำวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2484 เรือหลวงธนบุรีได้ย้ายที่จอดเรือจากเกาะง่ามมาจอดอยู่ยังที่จอดเรือใหม่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะลิ่ม เมื่อเวลา 19.00 น. โดยมีเรือหลวงหนองสาหร่ายและเรือหลวงเทียวอุทกตามมาด้วย และเรือหลวงระยองซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปรักษาการณ์ทางด้านใต้เกาะกูดนั้น ได้ออกเรือจากเกาะง่ามเมื่อเวลา 20.00 น. คืนเดียวกัน
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2484 เวลา 05.30 น. เมื่อได้เป่าแตรปลุกทหารตามเวลาแล้ว ก็มีการฝึกหัดการบริหารดังเช่นเคย และตามที่เรืออื่นๆ ได้ปฏิบัติกัน เมื่อได้ทำการบริหารไปเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินข้าศึก ทางเรือจึงมีคำสั่งให้เข้าประจำสถานีต่อสู้อากาศยาน ครั้นแล้วก็ได้แลเห็นเครื่องบิน แต่เรือหลวงธนบุรีมิได้กระทำการยิงเพราะอยู่ไกลสุดระยะปืน และเครื่องบินทะเลลำนี้ เมื่อได้บินมุ่งมาทางเรือหลวงธนบุรีชั่วเวลาเล็กน้อยแล้วก็บินหวนกลับไป ทางที่เรือตอร์ปิโดฝ่ายเราจอดอยู่ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปืนจากเรือตอร์ปิโดทั้งสองนั้น ทำการยิงเครื่องบินทะเลลำนี้ และได้แลเห็นกลุ่มควันของกระสุนระเบิดอยู่ล้อมรอบเครื่องบินทะเล กระสุนปืนกลได้เด่นผ่าน เครื่องบินทะเลไปหลายสิบนัด แล้วเครื่องบินทะเลก็ลับหายไป เมื่อเครื่องบินทะเลข้าศึกลับตาไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นทางด้านที่เรือตอร์ปิโดฝ่ายเราจอดอยู่นั้นอีกครั้งหนึ่งและเป็นเสียงดังอย่างถี่ แสดงว่าได้มีการระดมยิงอย่างหนัก แต่ก็มองไม่เห็นกลุ่มควันระเบิดในอากาศดังเช่นครั้งก่อน จึงสันนิษฐานได้ว่าเรือตอร์ปิโดฝ่ายเราคงจะได้เกิดปะทะกับเรือข้าศึกขึ้นแล้ว
ด้วยความประสงค์ที่จะไปช่วยเหลือเรือตอร์ปิโดทั้งสองลำ เรือหลวงธนบุรี จึงได้สั่งให้ถอนสมอและออกเรือ เมื่อเวลาประมาณ 06.20 น. ก่อนหน้านี้ แตรสัญญาณประจำสถานีรบก็ดังขึ้น นอกจากทหารที่ประจำหน้าที่อยู่บ้างแล้ว ทหารในเรือได้เด่นเข้าประจำตามตำแหน่งหน้าที่ และเตรียมการใช้อาวุธปืนใหญ่ของเรือต่อไป ส่วนเรือหลวงหนองสาหร่าย และเรือหลวงเทียวอุทก ก็ได้ออกเรือตามมาในเวลาใกล้ๆ กันตามลำดับ เมื่อเรือหลวงธนบุรีแล่นพ้นที่จอดเรือ มาได้เล็กน้อยยามบนสะพานเดินเรือก็ตะโกนรายงานลงมาว่าเห็นเรือข้าศึก 1 ลำ ทางท้ายเกาะไม้ซี้ใหญ่ ผู้บังคับหมวดเรือนายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรีด้วยนั้น จึงเอากล้องส่องดูปรากฏว่าเป็นเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ แล่นโผล่จากหัวเกาะด้วยความเร็ว ประมาณ 20 นอต หัวเรือหันไปทางตะวันออก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้บังคับการเรือ จึงตัดสินใจเข้าทำการต่อสู้ทันที และได้พูดขึ้นสั้นๆ ว่า เอามัน แล้วสั่งให้หันหัวเรือเข้าหาข้าศึก เพื่อทำการต่อสู้จนถึงที่สุด เพราะเรือลำนี้เป็นกำลังสำคัญ ของกองทัพเรืออินโดจีนฝรั่งเศส และในเวลาเดียวกันนั้น ได้สั่งให้รายงานไปยังกองทัพเรือ โดยทางวิทยุโทรเลขว่าเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์เข้าโจมตีหมวดเรือนี้ที่ด้านใต้เกาะช้าง
สำหรับเรือหลวงหนองสาหร่าย และเรือหลวงเทียวอุทก ผู้บังคับหมวดเรือได้สั่งว่าไม่ต้องตามมาให้หลบขึ้นไปอยู่ทางเหนือของเกาะช้าง ทั้งนี้ก็เพราะเรือทั้งสองลำนี้เป็นเรือขนาดเล็ก ไม่สมควรจะเข้าทำการรบกับเรือข้าศึกขนาดใหญ่
ต่อมาเรือลาดตระเวนข้าศึกได้บังเกาะไม้ซี้ใหญ่ มองไม่เห็นชั่วขณะหนึ่ง และในเวลาเดียวกันนี้เอง ปืนใหญ่ป้อมท้ายของเรือหลวงธนบุรีขัดข้อง ยังเตรียมการยิงไม่พร้อมทีเดียว ผู้บังคับการเรือจึงสั่งเลี้ยวซ้ายขึ้นทางเหนือ เพื่อเอาเกาะบังเป็นการถ่วงเวลาไว้เช่นเดียวกัน ครั้นได้รับรายงานว่าปืนพร้อมเวลาประมาณ 06.40 น. จึงได้สั่งหันหัวเรือไปทางทิศใต้ ประมาณตะวันออกเฉียงใต้ แล่นด้วยความเร็วเต็มที่ประมาณ 15 นอต
ในเวลาใกล้ๆ กันนี้ เรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ ก็โผล่หน้าจากเกาะไม้ซี้ใหญ่ออกมา การต่อสู้ ระหว่างเรือปืนหนักของไทยกับเรือลาดตระเวนของฝรั่งเศส ซึ่งมีเส้นทางไปทางทิศตะวันออกก็ได้เริ่มขึ้นทันที ความจริงแล้วเรือหลวงธนบุรีมีระวางขับน้ำเพียง 2,220 ตัน ความเร็ว 16 นอต เมื่อเปรียบเทียบกับเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ของข้าศึก ซึ่งมีระวางขับน้ำถึง 9,350 ตัน ความเร็ว 33 นอตแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเล็กกว่าและเป็นรองกว่า แม้จะกล่าวว่าเรือหลวงธนบุรีมีปืนใหญ่ คือมีปืน 8 นิ้ว 4 กระบอกก็ตามเรือข้าศึกก็มีปืน 6 นิ้ว ถึง 8 กระบอก ซึ่งเรือข้าศึกที่ว่านี้ยังมีตอร์ปิโดอีกดังกล่าว

อ่านต่อได้ที่ >>> ขอขอบคุณมาก ณ ที่นี้และสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากข้อมูล
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
http://www.navy.mi.th/navalmuseum/002_history/html/his_b23_gauchang_thai.htm

เรือรบราชนาวี http://www.thaiarmedforce.com/distribution/viewtopic.php?f=6&t=2070

อนุสรณ์ยุทธนาวที่เกาะช้างhttp://www.nac1.navy.mi.th/trat/documents/memorial.html
[/color]

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #408 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 18:13:03 »



๑๘ มกราคม - วันยุทธหัตถี วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและวันกองทัพไทย

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นวีรกษัตริย์นักรบที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่กอบกู้เอกราชให้ชาติไทย โดยเฉพาะวีรกรรมที่ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่านั้น . . .

เป็นที่เลื่องลือมาจนถึงปัจจุบัน โดยให้มีการจัดกิจกรรม การประกอบพิธีบวงสรวง การวางพานพุ่มสักการะที่บริเวณพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ และให้มีงานสมโภชอนุสรณ์ดอนเจดีย์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวันที่ ๑๘ มกราคม เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

วันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา เรียกกันว่า “วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” และทางกองทัพไทยได้กำหนดให้เป็น “วันกองทัพไทย” ด้วย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๕ มกราคม ของทุกปี ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๘ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้วันที่ ๒๕ เมษายนของทุกปี เป็น “วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” และเป็นวันรัฐพิธี แทนวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ อันเป็นการนับทางจันทรคติ โดยให้มีการวางพวงมาลาและสักการะ แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ และได้กำหนดใหม่ ให้วันที่ ๑๘ มกราคม ของทุกปีเป็น “วันยุทธหัตถี” และเป็นวันรัฐพิธีแทนวันที่ ๒๕ มกราคมของทุกปี โดยให้มีการวางพานพุ่มสักการะ แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการเช่นกัน การที่มีการเปลี่ยนแปลงวันทั้งสองดังกล่าว ก็ด้วยว่าเป็นการนับวันทางสุริยคติ ซึ่งคนปัจจุบันคุ้นชิน จำได้ง่าย และมีความเหมาะสมมากกว่า อีกทั้ง นายประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต ก็ได้คำนวณแล้วพบว่าการนับวันทางจันทรคติของวันกระทำยุทธหัตถีเดิมที่ตรงกับวันจันทร์ เดือน ๒ แรม ๒ ค่ำ จุลศักราช ๙๕๔ ที่กำหนดเป็นวันที่ ๒๕ มกราคมนั้น คลาดเคลื่อน จึงได้มีการเปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับความเป็นจริง คือ เป็นวันที่ ๑๘ มกราคมดังกล่าว ดังนั้น ในปัจจุบัน วันที่ ๑๘ มกราคม จึงถือเป็น “วันยุทธหัตถี” หรือ “วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”

ยุทธหัตถี หมายถึง การต่อสู้ด้วยอาวุธบนหลังช้าง เป็นการรบอย่างกษัตริย์สมัยโบราณ โดยบนหลังช้างจะมีคนนั่งอยู่สามคน ตัวแม่ทัพจะถือง้าวอยู่ที่คอช้าง คนที่นั่งกลางจะอยู่บนกูบและถือหางนกยูงซ้ายขวาโบกเป็นสัญญาณ และคอยส่งอาวุธให้แม่ทัพ อาจจะมีการสับเปลี่ยนที่นั่งกันตอนกระทำการรบ ที่ท้ายช้างจะมีควาญนั่งประจำที่ ตามเท้าช้างทั้งสี่มีพลประจำเรียกว่า จตุรงคบาท คนทั้งหมดจะถืออาวุธ เช่น ปืนปลายขอ หอกซัด ของ้าว ขอเกราะเขน แพน ถ้าเป็นช้างยุทธหัตถีจะมีหอกผูกผ้าสีแดงสองเล่ม ปืนใหญ่หันปากออกข้างขวาหนึ่งกระบอก ข้างซ้ายหนึ่งกระบอก มีนายทหารและพลทหารสวมเกราะโพกผ้า ช้างที่เข้ากระบวนทัพจะสวมเกราะใส่เกือกหรือรองเท้าเหล็กสำหรับกันขวากหนาม โดยทั้งที่สี่เท้าสวมหน้าราห์มีปลอกเหล็กสวมงาทั้งคู่ และมีเกราะโว่พันงวงช้าง สำหรับพังหอค่ายโดยไม่เจ็บปวด การต่อสู้ด้วยอาวุธบนหลังช้าง ถือเป็นคติมาแต่โบราณว่าเป็นยอดยุทธวิถีของนักรบ เพราะเป็นการต่อสู้กันตัวต่อตัว แพ้ชนะกันด้วยความคล่องแคล่ว บวกกับความชำนิชำนาญในการขับขี่ช้างชน ไม่ได้อาศัยลี้พลหรือกลอุบายแต่อย่างใด กล่าวกันว่า ในชมพูทวีป (ดินแดนที่เป็นอินเดีย ปากีสถาน เนปาลและบังคลาเทศในปัจจุบัน) ถือเป็นคติมาแต่ดึกดำบรรพ์ว่า ยุทธหัตถีหรือการชนช้างเป็นยอดยุทธวิธีของนักรบ เพราะเป็นการต่อสู้อย่างตัวต่อตัว แพ้ชนะกันด้วยความคล่องแคล่วแกล้วกล้า กับการชำนิชำนาญในการขับขี่ช้างชน โดยมิต้องอาศัยรี้พลหรือกลอุบายแต่อย่างใด เพราะโดยปกติ ในการทำสงครามโอกาสที่จอมทัพทั้งสองฝ่ายจะเข้าใกล้ชิดจนถึงชนช้างกันมีน้อยมาก ดังนั้น กษัตริย์พระองค์ใดกระทำยุทธหัตถีชนะก็จะได้รับการยกย่องว่า มีพระเกียรติยศสูงสุด และแม้แต่ผู้แพ้ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นนักรบแท้ มิได้ติเตียนกันเลย ซึ่งคติที่ว่าเป็นความนิยมของไทยด้วยเช่นกัน

สำหรับความเป็นมาของการทำยุทธหัตถีที่สำคัญที่สุดของไทยก็คือ ในสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชา จากข้อความในหนังสือพงศาวดารตอนที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ของชาติไทยกล่าวไว้ดังนี้

สงครามยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ เมื่อพระเจ้านันทบุเรงได้ให้พระมหาอุปราชายกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา หวังจะเอาชนะให้ได้โดยเด็ดขาด สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบข่าวจึงยกทัพหลวงไปตั้งรับที่หนองสาหร่าย ซึ่งในการต่อสู้กันครั้งนั้น ระหว่างที่การรบกำลังติดพัน ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถก็พากันไล่ล่าศัตรูอย่างเมามัน จนพาทั้งสองพระองค์ตกไปอยู่ในวงล้อมของข้าศึกโดยไม่รู้ตัว มีเพียงจตุลังคบาท(ผู้รักษาเท้าทั้งสี่ของช้างทรง) และทหารรักษาพระองค์เท่านั้นที่ติดตามไปทัน แม้จะอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่น ไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไวเกิดขึ้นโดยพระอุปนิสัยว่า พระองค์จะรอดได้มีเพียงทางเดียวคือ เชิญพระมหาอุปราชาเสด็จมาทำยุทธหัตถี ซึ่งพระองค์ก็สามารถกระทำยุทธหัตถีจนได้ชัยชนะอย่างสมพระเกียรติ และนับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกเลย มีแต่ฝ่ายไทยยกไปปราบปรามข้าศึก และทำสงครามขยายอาณาเขตให้กว้างขวางขึ้นกว่าแต่ก่อน

สำหรับช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่มีชัยแก่ข้าศึกในสงครามยุทธหัตถี แต่เดิมมีชื่อว่า “พลายภูเขาทอง” เมื่อขึ้นระวางได้เป็น “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” และเมื่อมีชัยก็ได้รับพระราชทานชื่อว่า “เจ้าพระยาปราบหงสา” ส่วนพระแสงของ้าวที่ทรงฟันพระมหาอุปราชา มีชื่อว่า “เจ้าพระยาแสนพลพ่าย” และพระมาลาที่ถูกฟันขาดลงไป ตอนทรงเบี่ยงหลบ มีชื่อว่า “พระมาลาเบี่ยง”

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเชี่ยวชาญการรบยิ่ง ทรงฉลาดในการวางแผนยุทธวิธีและอุบายกระบวนศึกที่ไม่เหมือนผู้ใดในสมัยเดียวกัน ทรงเป็นผู้ริเริ่มการรบแบบกองโจร คือ ใช้คนน้อยแต่สามารถต่อสู้กับคนจำนวนมากได้ พระองค์มีความสามารถในการใช้อาวุธที่ทำการรบแทบทุกชนิดอย่างเชี่ยวชาญ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน อาวุธที่พระองค์ได้แสดงความสามารถให้ประจักษ์มาแล้ว ได้แก่

๑.ปืน เช่น เหตุการณ์ที่แม่น้ำสะโตง ที่ทรงยิงพระแสงปืนกระบอกหนึ่งยาว ๙ คืบถูกสุรกรรมา ผู้บังคับกองฯของพม่าตายอยู่กับช้าง แสดงว่าทรงปืนแม่นมาก
๒.ดาบ เป็นอาวุธที่พระองค์ทรงชำนาญในการรบประชิด เช่น เมื่อครั้งปีนค่ายพม่า จนมี “พระแสงดาบคาบค่าย”
๓.ทวน ในกรณีสังหารลักไวทำมู ทหารพม่าที่จะมาจับพระองค์
๔.ง้าว เช่นในคราวสงครามยุทธหัตถี ที่ทรงใช้พระแสงของ้าวฟันถูกพระอังสะ(ไหล่)พระมหาอุปราชาจนขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์บนคอช้าง

จากเหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีความสามารถในการใช้อาวุธทั้งสี่ประเภทได้อย่างดีเยี่ยม ฝีมือการรบของพระองค์นั้นเรียกได้ว่าเก่งกาจจนเป็นที่ครั่นคร้ามแก่ข้าศึกศัตรู ดังปรากฏในพงศาวดารพม่าพอสรุปได้ว่า วันหนึ่งพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ทรงตัดพ้อว่า ไม่มีใครที่จะอาสามาสู้รบกับกรุงศรีอยุธยาเลย ทั้งๆ ที่พระนเรศวรมีรี้พลแค่หยิบมือเดียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปรบพุ่ง พระยาลอ ขุนนางคนหนึ่ง จึงทูลว่า กรุงศรีอยุธยานั้น สำคัญที่พระนเรศวรองค์เดียว เพราะกำลังหนุ่ม รบพุ่งเข้มแข็งทั้งบังคับบัญชาผู้คนก็สิทธิ์ขาด รี้พลทั้งนายไพร่กลัวพระนเรศวรยิ่งกว่ากลัวความตาย เจ้าให้รบพุ่งอย่างไรก็ไม่คิดแก่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น คนน้อยจึงเหมือนคนมาก ข้อความดังกล่าว เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงพระบารมีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้อย่างชัดเจน

ตลอดระยะเวลาที่เสด็จขึ้นครองราชย์ ๑๕ ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๑๓๓ จนเสด็จสวรรคตเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๑๔๘ ทรงอุทิศเวลาเกือบตลอดรัชสมัยให้กับการศึกสงครามเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ให้กรุงศรีอยุธยาตลอดมา กล่าวกันว่าทรงนำทหารเข้ารบและทำศึกสงคราม มากกว่า ๑๕ ครั้ง แต่การรบที่สำคัญและเด่นๆ มี ๓ ครั้ง คือ เมื่อพ.ศ. ๒๑๒๖ ที่ไปตีเมืองคัง ได้แสดงออกถึงพระปรีชาสามารถในการดำเนินกลศึก จนสามารถจับเจ้าเมืองคังถวายพระเจ้าหงสาวดีได้ ครั้น ปี พ.ศ. ๒๑๒๙ คราวพม่ายกล้อมกรุง ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีเสด็จมาเอง โดยมีกำลังพลถึง ๒๕๐,๐๐๐ คน และเป็นทัพกษัตริย์ถึง ๓ ทัพคือ ทัพพระเจ้าหงสาวดี ทัพพระมหาอุปราชา และทัพพระเจ้าตองอู ครานั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ใช้ยุทธศาสตร์การเดินทหารด้วยทางเส้นในจนได้รับชัยชนะ โดยพม่าไม่มีโอกาสเข้ามาประชิดกำแพงเมืองเลย และอีกครั้งคือ คราวสงครามยุทธหัตถีตามที่กล่าวมาแล้ว และแม้แต่วาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ ก็ยังทรงอยู่ในระหว่างการรบ คือทรงยกทัพไปตีเมืองอังวะ แต่เกิดประชวรเป็นหัวระลอก(ฝี) ขึ้นที่พระพักตร์และเป็นพิษจนสวรรคตไปเสียก่อน เมื่อพ.ศ. ๒๑๔๘ รวมสิริพระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา

การทำยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถือเป็นกลยุทธที่นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ เป็นยอดแห่งชัยมงคล และเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ชาติไทย นอกจากนี้ ยังเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญที่ทำให้พระเกียรติยศของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นที่เลื่องลือไปไกล เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ชาตินักรบอย่างแท้จริง เป็นผู้นำที่กล้าหาญและมีฝีมือการรบที่เก่งกาจจึงทำให้ทรงรบชนะมาโดยตลอด และยังเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าไม่มีข้าศึกใดกล้ายกทัพมารุกรานไทยนานถึง ๑๕๐ ปี

ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทยที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย จึงควรตระหนักและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ด้วยการตั้งมั่นกระทำความดีแก่สังคม และประเทศชาติ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ และที่สำคัญที่สุด คือ ความสามัคคี เมื่อคนไทยทุกคนมีความสามัคคี สังคมไทยของเราก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข ปราศจากความแตกแยกทั้งปวง เพื่อตอบแทนพระคุณของพระองค์ท่านที่ได้ทรงเสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินไทยของเราได้อยู่จนมาถึงปัจจุบันนี้

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำในวันกองทัพไทย
1. ทำบุญตักบาตร เพื่ออุทิศเป็นส่วนพระราชกุศลและกุศลแก่บรรพบุรุษ
2. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ
3. จัดแสดงนิทรรศการ เกี่ยวกับความเป็นมาของความกล้าหาญแห่งวีรกษัตริย์ไทย และวันกองทัพไทย

-------- สามารถอ่านโพสต์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเพิ่มเติมที่อัลบั๊มนี้
https://www.facebook.com/muay999nykhaa/media_set?set=a.196492333830901.69159.100004104076650&type=3 -------
 (พระคาถาบูชาพระนเรศวรมหาราช)-----
โอม นเรศจุติ สิทธการะณัง อะหังสุดโตนะโมพุทธายะ วะบังบังหับ ขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพุทธเจ้าน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #409 เมื่อ: 18 มกราคม 2015, 18:17:41 »




พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงล่องเรือ ในพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีแผนที่ ในพระหัตถ์สมเด็จฯ ทรงมีสมุดจดหนึ่งเล่มเสมอ

<<<< “ลุงๆ ไปพายเรือให้ในหลวงต๊ะ พระองค์ท่านจะเสด็จลงเรือชมบึงบากง” >>>>

‘ลุงนุช’ ฝีพายในหลวง-ราชินี ประพาส ‘บึงบัวบากง’ นราธิวาส จนกลายเป็นหนึ่งใน ‘ภาพประวัติศาสตร์’ ของปวงชนชาวไทย

ผู้ใหญ่สุดใจ แสงมณี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๖ บ้านบากง ตำบลรือเสาะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เดินทางมาเรียกนายนุช อนันตรานนท์ ขณะกำลังก่อสร้างบ้านอยู่ใกล้กับแยกทางหลวงสายรือเสาะ-ศรีสาคร ซึ่งจากจุดแยกนี้เข้าไปเพียงประมาณ ๒๐๐ เมตร ก็จะถึงบริเวณของหนองบัวบากง

นายนุช อนันตรานนท์ ราษฎรบ้านบากง ซึ่งมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ละจากงานหันมามองหน้าผู้พูดด้วยไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่ใจพูดจริงหรือไม่ หรือว่าตัวเองหูฝาดไปเอง จึงถามผู้ใหญ่ใจเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

ผู้ใหญ่ใจจึงกล่าวซ้ำ

“ไปพายเรือให้ในหลวงประทับ พระองค์ท่านต้องการชมบรรยากาศในบึง ให้คนอื่นพายเดี๋ยวพายกันเขลอะๆ เรือล่มแล้วจะแย่กันไปหมด”

หลังจากใช้เวลาสนทนาสอบถามรายละเอียดต่างๆ จนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว นายนุช มองหน้าผู้ใหญ่ใจอีกครั้ง ละมือจากงานทั้งหมด พร้อมกับค่อยๆ ยืนขึ้นแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สดใสไร้เมฆหมอก แล้วขยับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พร้อมกับเริ่มเดินออกไปข้างหน้าด้วยใจมุ่งมั่น...

เป็นที่รับทราบกันว่าในบรรดาชาวบ้านในบ้านบากงนั้น ฝีมือการพายเรือไม่ว่าจะเป็นเรือประเภทใด คงไม่มีใครจะพายได้ชำนาญเท่านายนุช เพราะตลอดชีวิตล้วนผูกพันกับสายน้ำอย่างแนบแน่น โดยเฉพาะพื้นที่กว่า ๑๕๐ ไร่ในหนองน้ำธรรมชาติรูปวงรีที่มีน้ำขังตลอดปี และชาวบ้านเรียกกันแต่โบร่ำโบราณมาว่า “พรุบากง” เพราะพื้นที่มีลักษณะเหมือนที่พรุโต๊ะแดง ก่อนจะมาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “หนองบัวบากง” ในภายหลัง เป็นพื้นที่ที่นายนุชผูกพันมาตั้งแต่สมัยเยาว์วัยเป็นวัยรุ่นกระทง ออกหาปูหาปลา หาพืชผักมาเป็นอาหารของครอบครัว กระทั่งอายุลุล่วงได้ ๖๖ ปี

ก่อนหน้านี้นายนุช มีอาชีพเป็นคนคัดท้ายเรือบรรทุกข้าวสารที่เด่นขึ้นล่องจากนครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร อยู่หลายปี จนฝีมือในการพายเรือและคัดท้ายเรือนั้นว่ากันว่าเป็นที่เลื่องลือนัก ก่อนจะตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากอยู่ที่บ้านบากง

กระทั่งวันที่ผู้ใหญ่ใจเดินทางมาบอกภารกิจอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองมีโชควาสนาและโอกาสสูงสุดในชีวิตที่จะได้พายเรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเพื่อชมทัศนียภาพในบึงบากง

เหตุการณ์วันนั้นเกิดเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๗ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จมาเยี่ยมราษฎรที่หนองบัวบากง

ขณะเดินไปยังจุดหมายที่บึงบากง นายนุชดีใจจนบอกไม่ถูก มีอาการตื่นเต้นพอควร ในความทรงจำที่จดจำได้ไม่ลืมเลือนคือขณะค่อยๆ เดินเข้าใกล้พระองค์ท่าน ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทอดพระเนตรแผนที่ก่อนลงเรือ หลังจากทอดพระเนตรแผนที่เสร็จแล้ว ยังแว่วได้ยินเสียงสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทูลขอกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ขอตามเสด็จลงเรือเพื่อชมบึงบากงด้วย

เพียงไม่นานต่อมา เรือลำน้อยก็ลอยล่องอยู่กลางบึงบัวโดยมีผู้โดยสารที่เป็นที่เทิดทูนของคนไทยทั้งชาติ ๒ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ในลำเรือ ส่วนผู้พายเรืออยู่ตรงท้ายคนเดียวเป็นชายชาวบ้านสูงอายุ ผมสีดอกเลา ใบหน้าอิ่มเอิบ

เรือน้อยค่อยๆ ลอยล่องตามแรงพายของฝีพายผู้ชำนาญการ ผ่านกอกก กอหญ้า และทอดตัวอยู่เบื้องหน้าแทบจะตลอดรายทางคือกลุ่มบัวหลวงดอกใหญ่อาบสีชมพูที่แทงดอกบานสะพรั่งเหนือผิวน้ำใส ตัดกับเขียวใบบัวที่แผ่ใบห่มคลุมเหนือผิวน้ำเป็นวงๆ โดยมีฉากเบื้องหลังคือฟากฟ้าและทิวเขาที่ทอดตัวนิ่งสงบ

นุช อนันตรานนท์ รำลึกความหลังในคราครั้งนั้นว่า ขณะพายเรือล่องไปในลำน้ำ พระองค์ท่านตรัสถามหลายเรื่องๆ ไม่ว่าเรื่องอายุ เรื่องครอบครัว หรือความเป็นอยู่ของชาวบ้านในแถบนี้

“พระองค์ท่านถามถึงอายุอานามผม ถามว่าอายุเท่าไหร่แล้ว พอผมบอกอายุ พระองค์ท่านก็บอกว่าแก่กว่าผม ๑๐ ปี หลังจากนั้นพระองค์ท่านก็ถามผมเกี่ยวกับต้นไม้พรรณไม้ในบึงบากงที่ผ่านไปทอดพระเนตรเห็น ถามหมดทุกอย่าง เช่น ทรงถามว่าหญ้าในบึงนี้เป็นหญ้าอะไร ต้นไม้แต่ละต้นเรียกว่าอะไรบ้าง พอผมอธิบายต้มไม้อะไรต่อมิอะไร บอกท่านหมด ท่านก็ตรัสว่า ดี รู้จักพรรณไม้มาก เวลาพูดกับพระองค์ท่านผมก็พูดธรรมดาอย่างนี้ ผมพูดใต้ ท่านฟังออกบอกให้พูดไปเถอะ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็ทรงตรัสว่าพูดอะไรก็พูดไปเถอะ พระองค์ท่านฟังออกทั้งนั้น”

ห้วงขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงประทับในเรือนี่เอง ที่ต่อมาได้ปรากฏภาพขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงประทับในเรือ โดยมีนายนุชเป็นฝีพายอยู่ข้างท้ายลำเรือ โดยผู้ถ่ายภาพก็คือ นายเคลื่อน เล็มมณี ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานประถมศึกษาจังหวัดนราธิวาส นอกจากนี้ภาพขณะเรือน้อยกำลังกลับเข้าฝั่งหลังจากเสด็จไปทอดพระเนตรบึงบากงเป็นเวลากว่า ๑ ชั่วโมง ได้รับการเผยแพร่เป็นประจำตามสื่อหลากหลายประเภท โดยเฉพาะภาพเคลื่อนไหวในสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ


หลังจากทอดพระเนตบรรยากาศโดยรอบบึงบากงจนทั่วแล้ว ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จขึ้นจากเรือขึ้นไปยังศาลาหลังเก่าเรียกกันว่า ศาลาเสด็จหนองบัว ซึ่งปัจจุบันถูกรื้อไปหมดแล้ว และมีการก่อสร้าง “ศาลาทรงงานหนองบัวบากง” แทน เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ลักษณะเป็นศาลาอาคารไม้ เสาไม้หลายโอน หลังคามุงด้วยกระเบื้องดิน ขนาดกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ตั้งโดดเด่นอยู่กลางน้ำ

“ตอนนั้นพอผมพายมาถึงใกล้ๆ ฝั่งแล้วพระองค์ท่านขึ้นฝั่งแล้ว เหลือผมนั่งในเรืออยู่เพียงคนเดียว สมเด็จพระนางเจ้าฯ บอกว่า ส่งมือมาๆ แล้วจับมือผมลากขึ้นจากเรือ ตอนอยู่ในวัดก็เหมือนกัน มือข้างขวาของผมจะสั่นอยู่บ่อยๆ ราชินีเห็นก็เดินมาจับคลำดู แล้วบอกไปให้หมอตรวจรักษา”

นั่นเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ นายนุช ได้กระทำหน้าที่สำคัญครั้งสำคัญของชีวิต ถึงขนาดกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“ความรู้สึกผมที่ได้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน ผมพูดอะไรไม่ออก รู้สึกดีใจ ตื้นตันใจจนบอกไม่ถูก ในชีวิตหนึ่งที่ได้พายเรือให้พระองค์ท่านประทับรู้สึกว่าเป็นบุญวาสนาสูงสุดสำหรับชีวิตเราแล้ว”


หมายเหตุ :

ขอไว้อาลัยแด่การเสียชีวิตของ 'ลุงนุช' นายนุช อนันตรานนท์ ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อคืนวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๓ ขณะอายุได้ ๙๓ ปี ด้วยงานเขียนชิ้นนี้ซึ่งเคยเผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ 'สายฝนเหนือปากน้ำบางนรา' ในชื่อ 'บึงน้อย บัวหลวง และบ้านบากง' (แบ่งปัณณ์สำนักพิมพ์, ๒๕๔๖)

(๑) คำว่า 'ต๊ะ' เป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้ มีความหมายเท่ากับ "ไป...เถอะ"

(๒) คำว่า 'เขลอะๆ' เป็นภาษาท้องถิ่นภาคใต้ มีความหมายเท่ากับ "ไม่ได้เรื่องได้ราว"





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 ตุลาคม 2016, 08:59:28 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #410 เมื่อ: 19 มกราคม 2015, 18:53:12 »



ร้อยมหานทีฤาจะเทียบ “น้ำพระทัย”


วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ
 และทูลกระหม่อมหญิงทั้ง ๒ พระองค์ เสด็จฯ กลับจากทอดพระเนตรโครงการชลประทานลิปะสะโง
 อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ขณะเสด็จฯ ผ่านแยกถนนพิชิตบำรุง
 อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้มีการปิดการจราจรบนถนนเรียบร้อยแล้ว

       จู่ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านฝ่าเจ้าหน้าที่ พุ่งเข้ามาชนรถยนต์พระที่นั่ง
ด้านพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งทรงขับรถด้วยพระองค์เอง

       มอเตอร์ไซค์เสียหลักทั้งคนขี่และคนซ้อน รวม ๓ คน กระเด็นลงมานอนแน่นิ่งริมถนน

       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ประทับนิ่ง และทอดพระเนตร โดยไม่มีพระราชกระแสรับสั่งอย่างใด

       หลังจากคนเจ็บถูกนำตัวไปส่งโรงพยาบาลแล้ว  จึงมีพระราชกระแสรับสั่งตามไปว่า “...ขออย่าให้ลงโทษหนัก...”

       ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการรักษาพยาบาล
 พร้อมทั้ง "พระราชทานมอเตอร์ไซค์คันใหม่" ให้อีกด้วย
..............................................

ที่มา : หนังสือสถาบันพระมหากษัตริย์กับมุสลิมในแผ่นดินไทย



  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 ตุลาคม 2016, 09:03:06 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #411 เมื่อ: 19 มกราคม 2015, 18:55:01 »



"วันนี้ในอดีต"

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
 ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโครงการพัฒนาเกษตรที่สูง
 บ้านห้วยตอง อำเภอสันป่าดอง จังหวัดเชียงใหม่





หลอกเศรษฐีได้

 จากการที่ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นเวลานาน
 คุณจำนง ภิรมย์ภักดี เล่าให้เราฟังว่าพระมหากษัตริย์ของเรานั้นทรงมี
 พระราชอารมณ์ขัน และทรงมีความห่วงใยทุกคนอยู่เสมอ
พระองค์ท่านมักจะตรัสเรื่องตลก ด้วยพระพักตร์ที่เรียบเฉย ตามอย่างที่คนธรรมดาเรียกกันหน้าตายนั่นแหละ (ยิ้ม)
 ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงขับรถด้วยพระองค์เองมาที่บ้านของ ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์  กฤดากร
 โดยเป็นเพียงรถญี่ปุ่นยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโซลูน่า คันเล็กๆ ที่ราคาถูกที่สุด แต่พวกเรายังไม่เห็นว่าเป็นยี่ห้ออะไร
 เมื่อกราบทูลถามว่า “วันนี้ทรงขับรถอะไรมา พ่ะย่ะค่ะ”
 พระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า “ทายซิ” ผมเองมองเห็นรถไม่ชัดเจนนัก จึงทูลตอบไปว่า
 “เล็กซัสพะย่ะค่ะ” เพราะเป็นรถชั้นเยี่ยมของโตโยต้า
  พระองค์ท่านจึงพระสรวลเล็กน้อย แล้วตรัสว่า “วันนี้ฉันหลอกเศรษฐีได้”


  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #412 เมื่อ: 19 มกราคม 2015, 19:00:44 »



ฉันรักพ่อฉันจัง

พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ 2547
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯให้นำเผยแพร่




ลูกพ่อ

ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว

ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน

แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้  จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง 
หรือ ความดี นั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดี  ก็คือ รักผู้อื่น

เพราะความรักผู้อื่น  สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา 
ทำให้โลกมีแต่ความสุข  และ  เกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้ 

พ่อขอบอกลูกดังนี้…

ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า  เป็นเพื่อนเกิด  เพื่อนแก่  เพื่อนเจ็บ 
เพื่อนตาย  ด้วยกัน  ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่า อดีต…ปัจจุบัน…อนาคต

มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง
 อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม

มีความสันโดษคือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร
 ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง
คือ มีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
 พอใจตามสมควร คือ ทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
 ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน

มีความมั่นคงแห่งจิตคือ มองให้เห็นโทษของความเกียจคร้าน
 และมองเห็นคุณประโยชน์แห่งความเพียร และ เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปราถนา
ให้ภาวนาว่า.. มีลาภ มียศ สุข ทุกข์ ปรากฏ สรรเสริญ
นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฏธรรมดา อย่ามัวโศกา นึกว่า“ช่างมัน”


พ่อ 6/10/2547

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปรารถทิ้งท้าย

“ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดแก่ท่านผู้อ่าน
ที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน…ฉันรักพ่อฉันจัง..”

สิรินธร





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #413 เมื่อ: 19 มกราคม 2015, 19:10:34 »



เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนไทยตลอดมาว่า
 “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”
ทรงงานหนักเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพสกนิกรไทย
 โดยเฉพาะในท้องถิ่นทุรกันดาร ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและยืนด้วยตนเองอย่างยั่งยืน

พระราชกรณียกิจของพระองค์มีมากมายหลากหลาย
จน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ผู้ถวายงานใกล้ชิดถึงกับบอกว่า

“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงงานครอบจักรวาล
พระราชกรณียกิจมีทุกด้านครอบคลุมวิถีชีวิตมนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ
จนมีคำพังเพยที่มักพูดกันถึงการทรงงานของพระองค์ว่า ทรงดูแลตั้งแต่ครรภ์มารดาไปถึงเชิงตะกอน”

เมื่อเอ่ยถึงมูลนิธิชัยพัฒนา หลายคนทราบว่า มูลนิธินี้เป็นของ
 “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ และมี “ดร.สุเมธ” เป็นเลขาธิการ

น้อยคนนักจะทราบว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
 ทรงดำรงตำแหน่งประธานบริหารมูลนิธิ ซึ่งจะทรงช่วยทูลกระหม่อมพ่อดูแลงานของชัยพัฒนา
 มาตั้งแต่ก่อตั้งมูลนิธิ เมื่อปี ๒๕๓๑ จนกระทั่งถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว (บทความนี้เขียนปี ๒๕๕๖)

“มูลนิธินี้ ไม่ใช่มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือในพระบรมราชานุเคราะห์
 แต่เป็นมูลนิธิของพระองค์เอง การทรงงานทุกอย่างจะทรงดูแลด้วยพระองค์เอง
ผมเป็นเลขานุการทำหน้าที่ดูแลปกครองงานประจำ และกลั่นกรองงานเพื่อถวายขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
แต่การสั่งงาน ทั้งสองพระองค์ทรงมีรับสั่งลงมาเอง หรือเซ็นอนุมัติงานต่างๆ จะทรงตัดสินพระทัยเอง”

 งานทุกอย่าง เรื่องทุกเรื่องของชัยพัฒนาจะถึง “พระเนตรพระกรรณ” ทั้งหมด

  “นี่เป็นมูลนิธิของพระองค์ท่าน เราจะไปตัดสินอะไรแทนไม่ได้ แต่สามารถแสดงความคิดเห็นได้
 เพราะนี่คือหน้าที่ของเรา กรณีอย่างนี้น่าจะเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้ได้ ทรงให้อิสระในการทำงาน
ไม่ทรงตั้งกฎเกณฑ์ มีอะไรแสดงความเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา แล้วสุดท้าย
พระองค์จะทรงเป็นผู้ตัดสินพระทัย บนหลักสำคัญ คือ ไม่คิดถึงพระองค์เอง
แต่ทุกอย่าง ทรงคิดออกภายนอก ว่า ประชาชนได้ประโยชน์อะไร”

ดร.สุเมธเล่าว่า สมเด็จพระเทพฯ ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของทูลกระหม่อมพ่อทุกอย่าง

"พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอย่างไร สมเด็จพระเทพฯทรงเป็นอย่างนั้น ทรงถอดแบบทูลกระหม่อมพ่อมาทุกอย่าง”

”ยกตัวอย่างหลักการทรงงาน ทรงตามแบบอย่างพระเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น
ทั้งทรงแก้ไขปัญหาให้ประชาชนโดยใช้องค์ความรู้ ทรงพัฒนาเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยคำนึงถึงหลักภูมิสังคม ทรงมุ่งพัฒนาทั้งคนและพื้นที่ ทรงบริหารความเสี่ยง
โดยจะทรงทดลองจนเกิดผลดีก่อน แล้วจึงค่อยพระราชทานแก่ราษฎร
 ทรงเน้นให้การศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาสและเด็กในพื้นที่ห่างไกล
 ทรงให้ความสำคัญกับระบบสารสนเทศและทรงใช้เทคโนโลยีในการติดตามงาน
 และทรงเป็นแบบอย่างของการประหยัดและพึ่งพาตนเอง”

 "สำคัญที่สุด ทุกการทรงงานจะทรงระมัดระวังให้งานนั้นไม่เกินอำนาจของพระองค์
 ทรงระวังในเรื่องนี้มาก” ย้ำเสียงหนักแน่น


หากสังเกตให้ดี การทรงงานของทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มักจะทรงเน้นไปในท้องถิ่นทุรกันดาร

 "พระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำเสมอว่า สิ่งที่ต้องระวังในการทรงงาน
 อย่าไปซ้ำซ้อนกับราชการ พอพระองค์มีดำริจะทำอะไร จะทรงให้เช็กก่อนว่า
ไปซ้ำซ้อนกับหน่วยราชการหรือเปล่า ต้องระวัง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า
พระเจ้าแผ่นดินไปแย่งงานกระทรวง ทบวง กรม เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์จึงต้องเสด็จออกไปไกลๆ ก่อน

ไกลปืนเที่ยง เพราะระบบราชการไม่ไป ใกล้ๆ เจริญแล้ว ไม่ต้อง
เพราะมีหน่วยราชการดูแล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเสด็จฯไปตามชายแดน
ไปทรงช่วยชาวเขา ชนกลุ่มน้อย เพราะไม่มีใครไป”

อีกหนึ่งหลักการทรงงานที่ทรงเน้นมาก คือ ทรงงานพัฒนาให้เข้ากับบริบทกับสังคมไทย

 “บางทีเราไปเรียนเมืองนอก เราอดที่จะมีของของเขาติดตัวมาไม่ได้
 แล้วเราก็อยากให้เราเหมือนเขา เขาถึงบอกกันว่า คนไทยรู้เขาแต่ไม่รู้เรา
 เราอยากให้บ้านเมืองเราเหมือนเขา แต่โจทย์บ้านเราไม่ใช่อย่างนั้น
 ผมเตือนนักวิชาการเสมอว่า จะพัฒนาอะไรอย่าเอามาทั้งดุ้น
 อย่าเอาจังก์ฟู้ดมาใช้ในเมืองไทย เพราะไม่ใช่เรา หลักสากลบางอย่างดีจริง
 แต่ก่อนเอามาใช้กับบ้านเรา ปรับปรุงให้เข้ากับบ้านเราก่อน”

 “พระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่เคยเห็นเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะทรงเกิดเมืองนอก
 แต่พอเสด็จฯ กลับมาประเทศไทย ทรงคิดแบบไทย เป็นสากลแต่แบบไทย
 เป็นสากลที่เข้ากับสภาพแวดล้อม พระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนไว้ให้เอาชาวบ้านเป็นครู
อย่าให้เขาเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ ศึกษาเขาก่อนว่าเขามีชีวิตอย่างไร
ถึงเป็นที่มาของคำว่าภูมิสังคม ต้องดูภูมิประเทศก่อน ทางเหนืออย่างหนึ่ง
ทางใต้อย่างหนึ่ง และต้องรู้จักคน เพราะคนแต่ละกลุ่มคิดไม่เหมือนกัน
 ความต้องการของเขาไม่เหมือนกัน วิถีชีวิตไม่เหมือนกัน
 พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนผมมาอย่างนี้ ซึ่งผมอยู่ปลายแถว”

 "แต่สมเด็จพระเทพฯ ทรงรับจากทูลกระหม่อมพ่อมาเต็มๆ และทรงเดินตามนั้นมาตลอด”



ด้วยวิทยาการที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน แม้สมเด็จพระเทพฯ
 จะทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย หากการทรงงานหลายอย่างไม่เป็นอุปสรรคให้การทรงงานด้านอื่นๆ หยุดชะงัก

“ยุคไอที ทำให้การทรงงานสะดวกขึ้น ไม่จำเป็นต้องเสด็จเข้าออฟฟิศบ่อยๆ
 แต่พอทรงนึกอะไรออกก็จะทรงสั่งงานผ่านทางไลน์บ้าง ทางวอทส์แอพบ้าง”
ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

สาเหตุหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งมูลนิธิชัยพัฒนาขึ้น
 เพื่อทรงใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานอย่างรวดเร็ว
เพราะความทุกข์ประชาชนรอไม่ได้ เมื่อรับสั่งอะไรมา มูลนิธิก็สามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที

"ถ้าเป็นระบบข้าราชการต้องรอ ต้องทำเรื่องอะไรต่างๆ มากมาย แต่งานมูลนิธิรับคำสั่งโดยตรง
 พอทรงสั่งลงมาเมื่อใด สามารถดำเนินการได้ทันที แล้วก็ถวายรายงานกลับไปได้ในทันทีเช่นกัน
จะดึกดื่นค่ำมืดอย่างไรก็ทำได้ เพราะความทุกข์ของประชาชนรอไม่ได้”

 “สมเด็จพระเทพฯ ทรงงาน ๒๔ ชั่วโมง เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะเกิดเหตุขึ้นเมื่อไหร่
 ตอนไหน อย่างตอนน้ำท่วมเมื่อปี ๒๕๕๔ ตอนนั้น ประทับอยู่อินเดีย พระองค์ท่านทรงสั่งงานมาให้ดูแลประชาชน
ให้แพคถุงยังชีพแจกประชาชน ซึ่งตามปกติไม่ใช่หน้าที่ของชัยพัฒนา งานของเราคือไปช่วยหลังจากน้ำลด
 ในลักษณะฟื้นฟูเยียวยา ซ่อมแซมบ้านเรือน แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชให้เขานำไปปลูก คือช่วยให้เขาฟื้นกลับคืนปกติได้เร็วที่สุด”

"แต่ครั้งนั้น เหตุการณ์รุนแรง ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ก็ไม่ทรงนิ่งเฉย พร้อมทรงย้ำว่า
 ของที่แจกต้องให้ได้ประโยชน์ ตรงความต้องการของผู้รับจริงๆ
 เรามีแม้กระทั่งหมากพลู (หัวเราะ) หรือบ้านไหนมีเด็กอ่อน เราแจกแพมเพิร์ส
 รวมทั้งแจกนมผง ทรงย้ำให้ตรงกับความต้องการรายบ้าน ซึ่งสะท้อนถึงความละเอียดอ่อน
 ความใส่พระทัย ทุกการทรงงานของพระองค์ต้องศึกษาอย่างละเอียด
 ว่ากรณีนี้ทำอย่างไร ไม่ใช่งานง่ายๆ แต่ละเรื่องมีการวางแผน
 มีการศึกษาข้อมูล มีการดูต้นเหตุ ปลายเหตุ ทรงทำด้วยพระทัยจริงๆ”

"อย่างช่วงนี้ พระเจ้าอยู่หัวประทับรักษาพระวรกายอยู่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระเทพฯ
ทรงเข้ามาดูแลงานแทนทุกอย่าง มีอะไรก็จะทรงนำไปเล่าถวาย
 ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีอะไรเสริมก็จะทรงนำมาถ่ายทอด เพราะฉะนั้น ระบบการทำงานก็ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง”

 "พระเจ้าอยู่หัวทรงงานตลอด และสมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงเจริญรอยตาม ทรงรับใช้ทูลกระหม่อมพ่อ ทรงอยู่เฉยๆ ไม่ได้”

ทุกวันนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงงานหนักจนเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาต้องออกปากว่า

 "ทรงงานมากเกินไป ไม่ทรงพักผ่อน”

“เคยเตือนพระองค์ว่า ทรงพักผ่อนบ้างเถอะ ก็จะทรงตอบกลับมาว่า
 ไม่เอา ยิ่งเตือนท่านยิ่งไป บางครั้งรู้ว่าตรงไหนลำบากจะเฉยๆ ไว้ดีกว่า
ไม่นำขึ้นทูล เพราะถ้าทรงรู้ว่าตรงไหนลำบาก ตรงไหนแร้นแค้น จะเสด็จฯไป” (หัวเราะ)

ถวายงานมา ๓๖ ปี ดร.สุเมธ ซึมซับพระจริยวัตรต่างๆ มามากมาย จนต้องกล่าวออกมาว่า



“สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นพหูสูตร ทรงรอบรู้ทุกด้าน ทุกศาสตร์ทุกแขนงทรงรู้หมด
เพราะทรงมีประสบการณ์ทั้งในและต่างประเทศ ในประเทศทรงไปเกือบจะทุกมุมของประเทศ
 ปัญหาร้อยแปดทรงบันทึกไว้ทั้งหมด ส่วนไปต่างประเทศก็ทรงไปเกือบจะทั่วโลก
 และไม่ได้ไปแบบเรา หากทรงไปนั่งเรียน ทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์ สถานศึกษา
สถานีวิจัย เรื่องความเป็นพหูสูตรหาใครทาบพระองค์ได้ยาก ทรงน่าทึ่งมาก”

   อีกพระจริยวัตรที่ ดร.สุเมธ ซาบซึ้งใจ

"ทรงขยัน และทรงอดทนสูง ไปถิ่นทุรกันดาร ยากลำบากยังไง ไม่ทรงปริพระโอษฐ์
ทรงทุ่มเททรงงานอย่างไม่ทรงนึกอะไรเลย ทรงลืมนึกถึงพระวรกายของพระองค์เองเสียด้วยซ้ำ
ภาพพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างไร สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นเหมือนทูลกระหม่อมพ่อ”

  ล่าสุด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งตั้งให้ ดร.สุเมธ เป็นประธานมูลนิธิอุทกพัฒน์
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อการป้องกัน แก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน
ตามแนวพระราชดำริ ดร.สุเมธ กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพฯ ทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์

“ทรงตอบตกลง” ดร.สุเมธเอ่ย

  “แต่ทรงมีข้อแม้ว่า ต้องดูแลสั่งการอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง”

จากนั้นหัวเราะออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ
 ด้วยอาจเป็นเพราะ รู้พระทัยในพระจริยวัตรของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
………………………………..

ที่มา : จากบทสัมภาษณ์ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา จากหนังสือมติชนรายวัน หน้าที่ ๒๕ ฉบับวันจันทร์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖




  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 มกราคม 2015, 23:18:52 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #414 เมื่อ: 19 มกราคม 2015, 19:28:21 »

คลิกชม คลิปข่าว http://goo.gl/k52J8U

สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ ทอดพระเนตรงานวิจัย
ณ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคโลราโด เมืองฟอร์ดคอลลินส์ สหรัฐอเมริกา



 


พระองค์ภาฯ เสด็จแทนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ในพิธีพุทธาภิเษก “พระพุทธนาคินทรารักษ์” ณ วัดพระเชตุพนฯ



วานนี้ (18 ม.ค. 58) เวลา 16.38 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
เสด็จแทนพระองค์ไปยังพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในพิธีพุทธาภิเษก
 "พระพุทธนาคินทรารักษ์"  ซึ่งโรงเรียนจิตรลดา ร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนจิตรลดา
และกองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี




ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้จัดสร้างขึ้น
ในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
จะทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 และในโอกาสที่โรงเรียนจิตรลดามีอายุครบ 60 ปี
 วันที่ 10 มกราคม 2558 โดยจัดสร้างเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ขนาดหน้าตัก 60 นิ้ว
ศิลปะแบบสุโขทัย หล่อด้วยทองเหลืองปิดทอง พญานาค 9 เศียร เป็นปูนปั้นฝีมือช่างสกุลเพชรบุรี
ขนดหาง 5 ขด หมายถึง 5 รอบพระชนมายุ พระราชทานนามว่า "พระพุทธนาคินทรารักษ์"
 มีความหมายว่า "พระพุทธรูปที่มีพญานาคคุ้มครองรักษา"

        จะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ค่ายลูกเสือจังหวัดน่าน
 ตรงข้ามพระตำหนักธงน้อย อำเภอเมือง จังหวัดน่าน พร้อมกันนี้
 ยังจัดสร้างพระพุทธรูปบูชาหน้าตัก 5 นิ้ว และเหรียญพระพุทธรูปที่ระลึก มอบให้แก่ผู้มีจิตศรัทธา

         รายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่าย จะมอบให้จังหวัดน่านเป็นกองทุน
ดูแลบำรุงรักษาพระพุทธนาคินทรารักษ์, สมทบทุนมูลนิธิสยามบรมราชกุมารีเพื่อโรงเรียนจิตรลดา
 และสมทบทุนสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนจิตรลดาเพื่อใช้ในกิจกรรมช่วยเหลือสังคม

คลิกชมคลิปข่าว

http://welovethaiking.com/blog/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%AF-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD/

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #415 เมื่อ: 22 มกราคม 2015, 09:30:09 »

<a href="http://www.youtube.com/v/qNwDh3IVEIg?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/qNwDh3IVEIg?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>


คลิกชมเลย http://goo.gl/puOmP1 .. คลิป "พระองค์ทีฯ"
ณ Bavarian International School
 ขณะทรงพระสำราญกับพระสหายร่วมโรงเรียน
..คลิปชัดมาก ..น่ารัก...เพื่อชาวไทยคลายความคิดถึงพระองค์













  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #416 เมื่อ: 23 มกราคม 2015, 09:55:22 »

วันนี้ในอดีต



"วันนี้ในอดีต"

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทอดพระเนตรบ่อพักน้ำของโครงการหลวงแม่ปูนหลวง
ซึ่งเก็บกักน้ำจากฝายเพื่อจะส่งต่อไปยังพื้นที่แปลงเพาะปลูก
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโครงการหลวงแม่ปูนหลวง
 ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย




"วันนี้ในอดีต"
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
 ณ ชุมชนย่าน วัดอนงคาราม เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร





"วันนี้ในอดีต"

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ไปทรงเยี่ยมราษฎรบ้านแม่ตะไคร้ ตำบลทาเหนือ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่



 


๓๖๕ วัน ๓๖๕ พระราชกรณียกิจในอดีต

๒๒ มกราคม ๒๕๐๕

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนิน
 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗
สมเด็จพระเจ้า เฟรดเดอริคที่ ๙ แห่งประเทศเดนมาร์ก และสมเด็จพระราชินีอินกริด
 ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร และอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน


 


"วันนี้ในอดีต"

เมื่ออังคารที่ 23 มกราคม 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินไปยังอนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทรงปล่อยน้ำจากอ่างเข้าแปลงนา
 ซึ่งฝ่ายจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้เตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับทำนาทำไร่





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #417 เมื่อ: 23 มกราคม 2015, 09:55:50 »


(ขอบคุณภาพ จาก : เรารัก "สมเด็จพระเทพฯ" : Our BeLoved Princess Maha Chakri Sirindhorn)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงใช้ธารพระกร(ไม้เท้า) จากอุบัติเหตุลื่นหกล้มในห้องสรง(ห้องน้ำ)
ในช่วงดึกของคืนก่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (22 มกราคม 58)

ทรงเสด็จฯ ไปรับการถวายการตรวจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ที่โรงพยาบาลสวนดอก
ซึ่งคณะแพทย์จะขอถวายการรักษา แต่พระองค์ทรงยืนยันว่า
จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เสร็จก่อน
ไม่มีพระราชประสงค์ให้นักศึกษาและผู้ปกครองกว่า 5,000 คน ต้องรอ

อนึ่ง ยังไม่มีการแถลงถึงพระอาการอย่างเป็นทางการ แต่มีกระแสข่าวว่า
 ทรงพระดำเนินด้วยธารพระกร จังหวะพระดำเนินตามปกติแต่จะช้าเล็กน้อย
และยังคงพระราชทานใบปริญญาบัตรแก่บัณฑิตด้วยพระวิริยอุตสาหะของพระองค์ท่าน


ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว
 มีพระพลามัยสมบูรณ์แข็งแรง
 ขอพระองค์ทรงพระเจริญ





วานนี้ 21 ม.ค. 58 เวลาประมาณ 22.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
 ทรงล้มในห้องน้ำ ขณะประทับ ณ ที่พักส่วนพระองค์ เพื่อเตรียมพระองค์
 ในการพระราชทานปริญญาบัตรในวันรุ่งขึ้น และได้เข้ารับการ x-ray ที่ รพ.สวนดอกเช้าวันนี้

คณะแพทย์ รพ.สวนดอกจะถวายการรักษา แต่ "พระองค์ทรงยืนยัน"
 จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษา มช. ให้เสร็จก่อน
 "ไม่ทรงต้องการ" ให้นักศึกษากว่าพันคน "ต้องรอ"






สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คลิกชม คลิปข่าวด้านล่าง  วานนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
พระราชทานปริญญาบัตร มช. และ ทรงร่วมงาน ครบรอบ 50 ปี
แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ "5 ทศวรรษ มช.รวมพลังเพื่อแผ่นดิน"

http://welovethaiking.com/blog/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B8-28/

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 มกราคม 2015, 09:58:21 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #418 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2015, 22:32:28 »




สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ เปิดงานตรุษจีนเยาวราชปีนี้
เมื่อเวลาประมาณ 16:00 น. (19 ก.พ.58) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
 ทรงเป็นประธานเปิดงานตรุษจีนเยาวราชปี 58 “มะแมเบิกฟ้า เฉลิมหล้ามหามงคล พูนผลเยาวราช”
ในภาพขณะทรงพระราชดำเนินประทับรถรางพระที่นั่งจากซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา
วงเวียนโอเดียน ไปยังศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้
สมเด็จพระเทพฯ ทรงฉลองพระองค์ในเสื้อโปโลคอจีนสีแดง ปักและสกรีนภาพวาดฝีพระหัตถ์ในพระองค์
เป็นภาพแพะ 3 ตัว พร้อมพรพระราชทานเป็นลายพระหัตถ์ภาษาจีนว่า
“ซาน หยาง ไค ไท่” มีความหมายเป็นมงคลว่า “แพะสามนำสุข” ของร้านภูฟ้า
 เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้รับสิริมงคลประสบโชคดี มีแต่ความสุข
ความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จ ทั้งหน้าที่การงานการเงินตลอดปี









  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #419 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2015, 22:33:46 »

 
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จไปยังวัดมังกรกมลาวาส และ ประทับรถรางพระที่นั่งเสด็จ
ไปร้านค้าและวัดต่างๆ บริเวณถนนเยาวราช









สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมายังวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร






  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #420 เมื่อ: 09 มีนาคม 2015, 20:17:21 »

“ในหลวง”เสด็จฯ ไปสวนจิตรลดาทอดพระเนตรโครงการส่วนพระองค์

คลิก http://goo.gl/1Ggk9s คลิปข่าว วานนี้ เมื่อเวลา 15.36 น. วันที่ 9 มี.ค. 2558
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินลงจากอาคารที่ประทับชั้น 16
อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชจากนั้นเสด็จฯประทับรถตู้พระที่นั่ง
 ไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เป็นการส่วนพระองค์
 เพื่อทรงทอดพระเนตรโครงการส่วนพระองค์ และทรงติดตามความก้าวหน้าของ
โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
 ท่ามกลางพสกนิกรที่ทราบข่าวต่างเฝ้ารอรับเสด็จตลอดเส้นทาง
ที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านภายในโรงพยาบาลศิริราช









 เมื่อเวลา 15.36 น. วันที่ 9 มี.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 เสด็จพระราชดำเนินลงจากอาคารที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ
โรงพยาบาลศิริราชจากนั้นเสด็จฯประทับรถตู้พระที่นั่ง ไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
 พระราชวังดุสิต เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทรงทอดพระเนตรโครงการส่วนพระองค์
 และทรงติดตามความก้าวหน้าของ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
ท่ามกลางพสกนิกรที่ทราบข่าวต่างเฝ้ารอรับเสด็จตลอดเส้นทาง
ที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านภายในโรงพยาบาลศิริราช






ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์เชิ้ตลายสก็อตสีเหลืองแขนสั้น
 ทรงมีพระพักตร์ที่แจ่มใส ขณะที่รถตู้พระที่นั่งแล่นผ่าน พสกนิกรที่เฝ้ารอรับเสด็จต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง
 “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแย้มพระสรวล
 พร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มารอเฝ้ารับเสด็จ สร้างความปลาบปลื้มใจ
ให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นพระองค์ทรงมีพระวรกายที่แข็งแรง
 ประชาชนบางรายถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มออกมา




จากนั้นเวลา 15.48 น. รถตู้พระที่นั่ง ถึงยังสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
เมื่อเสด็จฯถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯยังโรงสีข้าวเพื่อทอดพระเนตรเครื่องสีข้าวใหม่
ที่บริษัทเอกชนน้อมเกล้าฯถวายเมื่อปีพ.ศ. 2556 ก่อนเสด็จฯไปประทับที่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์
 เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ และเสวยพระสุธารส ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับยังที่ประทับ ณ ชั้น 16
 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ในเวลา 16.59 น. รวมเวลาในการเสด็จฯ ครั้งนี้ 1 ชม. 23 นาที










  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มีนาคม 2015, 20:18:35 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #421 เมื่อ: 20 มีนาคม 2015, 16:29:11 »


น้อมนำวิถีพอเพียงฯ เครื่องมือหล่อหลอม “อาชีวะ” เตรียมฝีมือรับอนาคต


คลิกอ่าน
http://goo.gl/IPzsW1
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสนพระราชหฤทัยงานช่าง
 ตั้งแต่ทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงประดิษฐ์ของเล่นด้วยพระองค์เอง
 เช่น เครื่องร่อนและเรือรบจำลอง เป็นต้น



“สตรอว์เบอร์รี่” อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
คลิกชม
http://goo.gl/ZiNsQp
ภาพของราชวงศ์ไทย ทรงงานท่ามกลางเกษตรกร มิได้เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่มีมาให้เห็นเนิ่นนานจนชินตา
ชม “สตรอว์เบอร์รี่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ”...ชมฟรี ณ อาคารนิทรรศน์รัตน์โกสินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง ทุกวัน หยุดวันจันทร์
และหนังสือ “สตรอว์เบอร์รี่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ..รายได้สมทบทุนช่วยเหลือเกษตรกร





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #422 เมื่อ: 20 มีนาคม 2015, 16:32:35 »

ชมคลิป http://goo.gl/3zsqZV
เผื่อบางท่านอาจยังไม่ได้ชม ...
 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรฯ ...ล่าสุด ไม่กี่วันนี้





สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรฯ ทรงสกี ณ ประเทศเยอรมนี
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรฯ ทรงสกี ณ ประเทศเยอรมนี
คลิปวิดีโอ จากเพจ เรารักราชวงศ์จักรี

<a href="http://www.youtube.com/v/l7U3BBD0yyM?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/l7U3BBD0yyM?hl=th_TH&amp;amp;version=3&amp;amp;hl=cccfff&amp;amp;border=1&amp;autoplay=&amp;loop=1</a>






  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มีนาคม 2015, 17:04:15 โดย FIRE » บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #423 เมื่อ: 20 มีนาคม 2015, 16:35:26 »

คลิกชม http://goo.gl/DW0AgV วานนี้
กับ คอลเลคชั่นล่าสุด บนแคทวอล์ก... ที่พระองค์หญิงทรงสร้างสรรค์ ..แบรนด์ SIRIVANNAVARI

(Cr.NationPhoto)




พระองค์หญิงทรงเผยโฉมคอลเลคชั่น สปริง/ซัมเมอร์ 2015 แบรนด์ “SIRIVANNAVARI” บนแคทวอล์ก
s7

         พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงพร้อมเผยโฉมผลงานทรงออกแบบจาก  คอลเลคชั่นเสื้อผ้าและเครื่องหนังประจำฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ 2015 ภายใต้แบรนด์ “SIRIVANNAVARI” โดยทรงมีแรงบันดาลพระทัยมาจากเครื่องแบบทหารสไตล์นโปเลียน ผสมผสานกับรายละเอียดกลิ่นไอแห่งยุคสมัยนีโอคลาสสิคและจักรวรรดิโรมัน
t1

          ซึ่งคอลเลคชั่นล่าสุดนี้ โดดเด่นด้วยโครงเสื้อและเทคนิคการตัดเย็บแบบใหม่ที่พระองค์หญิงทรงสร้างสรรค์ รวมถึงลายกราฟฟิคฝีพระหัตถ์ที่ทรงนำสัญลักษณ์นำโชคต่าง ๆของยุคนีโอคลาสสิคมาทรงวาดลวดลายใหม่ในเชิงงานศิลป์แบบดาด้า (Dadaism)




พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงพร้อมเผยโฉมผลงานทรงออกแบบจาก  คอลเลคชั่นเสื้อผ้าและเครื่องหนังประจำฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ 2015 ภายใต้แบรนด์ “SIRIVANNAVARI” โดยทรงมีแรงบันดาลพระทัยมาจากเครื่องแบบทหารสไตล์นโปเลียน ผสมผสานกับรายละเอียดกลิ่นไอแห่งยุคสมัยนีโอคลาสสิคและจักรวรรดิโรมัน
ซึ่งคอลเลคชั่นล่าสุดนี้ โดดเด่นด้วยโครงเสื้อและเทคนิคการตัดเย็บแบบใหม่ที่พระองค์หญิงทรงสร้างสรรค์ รวมถึงลายกราฟฟิคฝีพระหัตถ์ที่ทรงนำสัญลักษณ์นำโชคต่าง ๆของยุคนีโอคลาสสิคมาทรงวาดลวดลายใหม่ในเชิงงานศิลป์แบบดาด้า (Dadaism)





พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่งแบรนด์ SIRIVANNAVARI ทรงมีรับสั่งว่า “หากจะให้กล่าวถึงที่มาที่ไปของคอลเลคชั่นนี้ ข้าพเจ้าคงต้องบอกว่า ผลงานล่าสุดนี้ เริ่มต้นจากการที่ข้าพเจ้าได้กลับไปดูงานวิทยานิพนธ์ที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ตอนที่ยังเรียนอยู่ที่ปารีสที่โรงเรียน Ecole De La Chambre Syndicale De La Couture Parisienne ซึ่งงานวิทยานิพนธ์นั้น เป็นเรื่องของเครื่องแบบทหารสไตล์นโปเลียน และเมื่อได้ย้อนกลับไปดูงานของตัวเอง ข้าพเจ้าก็มีความคิดที่จะนำงาน สเก็ตช์เหล่านั้นมาทำให้เป็นจริง โดยปรับให้โมเดิร์นขึ้นและนำมาคลุกเคล้ากับกลิ่นไอแฟชั่นของยุคนีโอคลาสสิคและโรมัน อาทิ รายละเอียดการปักสัญลักษณ์รวงข้าว ผึ้ง ช่อมะกอก เสือดาว ดวงดาว ฯลฯ ซึ่งลวดลายทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงความหมายอันดีงามทั้งสิ้น”



 

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงมีรับสั่งต่อว่า “สำหรับคอลเลคชั่นล่าสุดนี้ ข้าพเจ้าได้สร้างสรรค์รายละเอียดของโครงเสื้อขึ้นมาใหม่หลากหลายแบบด้วยกัน เช่น ช่วงไหล่ จะเห็นได้ว่าช่วงไหล่ของเสื้อผ้าในซีซั่นนี้จะมีความกลมมน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงไหล่ของเสื้อแจ๊กเก็ตแบบฝรั่งเศสโบราณ โครงเสื้อของแจ๊คเก็ตทั้งแบบสั้นและแบบยาวที่ตัดเย็บด้วยแพทเทิร์นจีโอเมทริก

           ในขณะที่แขนเสื้อสูทในฤดูกาลนี้ได้พัฒนามาจากแขนเสื้อสูทของผู้ชาย โดยข้าพเจ้าได้ปรับให้เป็นแขนเสื้อสูทในสไตล์ของผู้หญิง อีกทั้งยังได้ออกแบบการจับสม๊อกแบบใหม่ซึ่งมีลักษณะคล้ายรังผึ้ง โดยได้นำเอาเทคนิคนี้ไปสร้างสรรค์เป็นกระโปรงตัวสวยที่สลับกับเทคนิคการจับพลีตออกมาในแพทเทิร์นแบบไม่สมมาตร (Asymetrical)




นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมาก ก็คือ ปกเสื้อเชิ้ต ที่สามารถถอดได้และนำไปสวมใส่กับชุดอื่น ๆ ได้เฉกเช่นเครื่องประดับ”

          คอลเลคชั่นเสื้อผ้าทรงออกแบบสำหรับสุภาพสตรีประจำฤดูกาลสปริง/ซัมเมอร์ 2015 ประกอบด้วยจำนวนเสื้อผ้าทั้งสิ้น 40 ลุค

          ซึ่งนอกจากโครงเสื้อและสไตล์ที่น่าสนใจแล้ว อีกองค์ประกอบที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากก็คือ ลายพิมพ์กราฟฟิคฝีพระหัตถ์ โดยพระองค์หญิงได้ทรงนำภาพวาดฝีพระหัตถ์และสัญลักษณ์นำโชคต่างๆ ของยุคนีโอคลาสสิค ได้แก่ นกอินทรีย์ ผึ้ง เสือดาว นกพิราบ ม้า ช่อมะกอก รวงข้าวสาลี ฯลฯ มาสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ในเชิงงานศิลป์แบบดาด้า (Dadaism) ซึ่งเป็นแนวศิลปะที่สร้างสรรค์ความงามในรูปแบบที่ไร้กฎข้อบังคับ ออกนอกกรอบและขนบเดิมที่มีอยู่ มีอิสระในการสร้างผลงาน




โดยเทคนิคการรังสรรค์ศิลปะแนวนี้จะสามารถเห็นได้จากเทคนิคภาพปะติด (Collage) เทคนิคการสร้างภาพประกอบรวม (Photomontage) และเทคนิคการผสม (Assemblage) โดยลายกราฟฟิค ทรงออกแบบนี้มีปรากฏให้เห็นทั้งในคอลเลคชั่นเสื้อผ้า และ เครื่องประดับแฟชั่นสุภาพสตรี คอลเลคชั่น ชุดว่ายน้ำสุภาพสตรี และ แคปซูลคอลเลคชั่นของเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ ที่ประกอบด้วยเสื้อโปโลปักลาย เสื้อยืดลายกราฟฟิคและเนคไท

          นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์ของคอลเลคชั่น ก็คือ คอลเลคชั่นเครื่องประดับจิวเวอรี่ (Bijoux Collection) ซึ่งโดดเด่นด้วยตัวเรือนทองที่แสดงถึงสัญลักษณ์และลวดลายต่าง ๆ ที่สื่อถึงความหมายอันดีงามตามความเชื่อในสมัยนีโอคลาสสิค อาทิ ผึ้งบ่งบอกถึงความเป็นอมตะ ช่อมะกอกคือมงกุฎแห่งชัยชนะ ในขณะที่รวงข้าวสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์

          เครื่องประดับจิวเวอรี่ทุกชิ้นผลิตจากทองเหลืองเคลือบด้วย สีทองขาวและสีทองแฮมมิลตัน ประดับด้วยอัญมณีเพื่อเพิ่มความโก้หรู เช่น อะมีทิส โรสควอร์ท มุกน้ำจืด เป็นต้น

          นอกจากนี้ ยังมีพลอยสังเคราะห์เจียระไนพิเศษหลากหลายสี ทั้งสีเขียวมรกต สีเหลืองอำพัน สีเขียวมะกอก และสีชมพูแซฟไฟร์




สำหรับคอลเลคชั่นเครื่องหนังทรงออกแบบสปริง/ซัมเมอร์ 2015 ได้นำเสนอทั้งกระเป๋า เข็มขัดและรองเท้า ซึ่งคงคอนเซ็ปท์เดียวกันกับคอลเลคชั่นเสื้อผ้าทรงออกแบบ โดดเด่นด้วยการจับจีบหนัง (เฉกเช่นการจับจีบผ้า) และตกแต่งด้วยหนังงูเหลือม กระดุมทอง ห่วงโลหะทอง พู่และชายครุยหนัง ที่ให้ความรู้สึกโมเดิร์น ในขณะที่รองเท้ามีทั้งแกลดิเอเตอร์ส้นเข็ม และแบบไร้ส้น (Gladiator Stiletto & Flat) ที่ตกแต่งด้วยกระดุมและห่วงโลหะทอง ซึ่งทำให้ผู้สวมใส่มีเรียวขาที่เซ็กซี่

         พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงมีรับสั่งปิดท้ายว่า “ถึงแม้ว่าคอลเลคชั่นนี้มีรายละเอียดของการออกแบบที่หลากหลายมาก แต่ผลงานทุกชิ้นก็ยังบ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ไว้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งข้าพเจ้าหวังว่าทุกท่านจะสามารถสัมผัสได้ถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์”
...........................................

ภาพข่าวจาก #sirivannavari

ที่มา : Post Today

  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
FIRE
Spacial Mb5
*

พลังน้ำใจ: 216
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 488


อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ


« ตอบ #424 เมื่อ: 20 มีนาคม 2015, 17:02:33 »

" ได้พบวิดิโอดีๆ จากเพจ
รู้ดีคิดดี   นี้มา
 เป็นตัวอย่างของความพยายาม ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในชีวิต อยากให้ทุกคนได้ดูกัน "


เรื่องจริงของเด็กชาวเขาเผ่าม้ง ที่ชีวิตไม่เคยยอมแพ้
ติดตามบทสรุปของเด็กชาวเขาคนนี้ได้ใน 'หัวใจสุดแผ่นดิน'
บนเส้นทางชีวิตที่เหมือนไม่มีอะไรเหลือเลย
แต่สิ่งสำคัญที่เด็กชายชาวเขาเผ่าม้งคนหนึ่งมี
คือหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเพียรพยายาม
และเรื่องจริงต่อไปนี้...
เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา
เพราะเราเชื่อว่า...คนดีมีอยู่จริง


 คลิกชม
https://www.facebook.com/video.php?v=1536228586659954&set=vb.1443970325885781&type=2&theater





  อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
 ธงชาติ ชีวิตนี้ พลีเพื่อชาติ  ธงชาติ
บันทึกการเข้า
แท็ก:
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 [17] 18 19 20   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

เว็บไซต์ในเครือข่ายอภิโชค "เว็บมหาชน คนมหาโชค"
 
คติ "กินอยู่อย่างพอเพียง เสี่ยงโชคแต่พอควร"
ข้อมูลในเว็บนี้ใช้ประกอบเสี่ยงโชคสำหรับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่สนับสนุนหวยที่ผิดกฏหมาย
คำเตือน -ทางเว็บไม่ได้ทราบเป็นการล่วงหน้าว่าหวยทางกองสลากจะออกตัวไหน แต่เราใช้การวิเคราะห์หรือประเมินตามหลักสถิติ
หรือวิธีการอื่นว่า เลขที่มีโอกาสออกมากที่สุดในแต่ละงวดควรจะเป็นเลขอะไรเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ การเล่นหวยถือว่ามีความเสียงมาก
Sitemap | Contact | WAP | xHTML | iMode | WAP 2 | RSS

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines | Sitemap
อภิโชค เลขเด็ด หวยดัง หวยเด็ด เว็บหวยออนไลน์ คำนวณหวยบนดิน ©
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.485 วินาที กับ 23 คำสั่ง
Copyright (c) 2008-2022 apichokeonline.com